WeChat ID :
ในทุกๆเคส
สิ่งที่เราจะเจออยู่บ่อยๆคือ
เจ้าของอยากขายราคาสูง
ลูกค้าอยากซื้อราคาถูก
.
แล้วการที่เราเป็นเอเจ้นท์
หรือการเป็นคนกลางในการ make a deal
เราจะรู้ได้อย่างไร
ว่าราคาที่แท้จริงคือราคาที่เท่าไหร่
.
หลายคนไปSearch ราคาข้างเคียงในเนตมั่ง
หลายคนก็ใช้วิธีให้แบงค์มาประเมินมั่ง
ซึ่งวิธีเหล่านี้ไม่มีผิดไม่มีถูกครับ
.
แต่ถ้าคุณกำลังเจอเคสบ้านที่ไม่มีตัวเปรียบเทีบบราคาเลย
บ้านที่ไม่ได้อยู่ในโครงการ
บ้านที่ระแวกนั้นไม่มีตัวเทียบเลย
คุณจะหาราคายังไง?
.
คิดจากอัตราเงินเฟ้อนับจากปีที่สร้าง?
คิดจากราคาประเมินกรมธนารักษ์
หรือจะให้เงินทำงานด้วยการ
จ้างบริษัทเอกชนหรือแบงค์มาประเมิน
.
วิธีที่เราสามารถหาได้เองแบบไม่ต้องเสียเงินเลย
คือการขอโฉนดที่ดินและใบสัญญาซื้อขายจากเจ้าของมาดู
(ถ้าเอกสารหายก็ไปขอคัดที่กรมที่ดินเอา)
.
แค่นั้นจริงหรอพี่…ต้องตอบว่าใช่
.
.
.
สูตรคือ
ราคาซื้อขายจริง = ราคาที่ดิน+ราคาสิ่งปลูกสร้าง
.
ที่ดินมีขนาดเท่าไหร่
ดูได้จากโฉนด
ราคาที่ดินต้องตีออกมาเป็น xxx บาท/ ตรวา
โดยเอาราคาประเมินกรมที่ดินมาเทียบกับราคาตลาด
แล้วมาหาค่าอัตราส่วนของราคา
เช่น ที่ดินโซนนี้คูณกี่เท่าของราคาประเมินที่ดิน
ในเมืองอาจจะ x 3-5 เท่า
รอบนอกอาจจะ x 1-2 เท่าเป็นต้น
.
ส่วนเรื่องสิ่งปลูกสร้าง
ดูจากใบซื้อขาย
ตีราคาออกมาจากพื้นที่ใช้สอย xxx ตรม
แล้วดูว่าวัสดุบ้านหลักๆเป็นอะไร
มีมูลค่าแค่ไหน
.
เช่น บ้านไม้ / บ้านไม้ผสมปูน / บ้านปูน
และดูคุณภาพของวัสดุว่าอยู่ในเกรดไหน
ระดับทั่วไป ระดับดี ระดับดีมาก
.
อย่างพื้นที่เอามาปูพื้นบ้าน
ปาเก้ / ลามิเนต / กระเบื้องยาง / เอนจีเนียร์ริ่งวู๊ด / ไม้แท้
มีสัดส่วนกี่ตารางเมตรของตัวบ้านทั้งหมด
มันเอามาใช้คำนวนได้เป๊ะๆเลย
ยิ่งถ้าได้พิมพ์เขียวมาแยกวัสดุเลยจะดีมากๆ
.
**เบื้องต้น : ของตกแต่งในบ้านไม่เอามาตีมูลค่า เพราะมัน variable cost เกินไป เราจะหลงทางกับราคา***
.
เมื่อได้ตัวเลขตัวเลขทั้ง 2 ส่วนแล้ว
เอามาบวกกัน
คุณจะได้มูลค่าของตัวบ้านนี้จริงๆ
แบบไม่มีความ bias ใดๆ
.
ซึ่งตอนนี้คุณอาจเอามาดับเบิ้ลเช็ค
กับราคาที่ขายในท้องตลาดได้แล้ว
ว่าทรัพย์ที่เราดูแลอยู่
มีราคาอยู่ในระดับไหนของตลาด (over หรือ under)
.
ถ้าเจ้าของตั้งราคาสูงกว่าตัวเลขที่เราถือ
มันก็เป็นเนื้อข้อมูลที่สามารถเอามาพูดคุยได้
ว่าราคาจริงๆน่าจะได้ที่เท่าไหร่
หรือสามารถเอามาคุยกับลูกค้าได้ดีขึ้น
ถ้าโอเคกับตัวเลข
เราก็สามารถรับเคสนี้ได้เลย
และปิดง่ายขึ้นด้วย
แต่ถ้ายังไม่โอเคกับตัวเลขที่ได้
**ก็ยังไม่ต้องรับเข้ามา**
.
ถ้าเจ้าของตั้งราคา under เกินไป
เราก็สามารถนำข้อมูลนี้มาเป็นข้อมูล
เพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้เค้าได้เต็มที่
(คุยง่ายขึ้นเยอะเลยถ้าเจอแบบนี้)
เจ้าของก็มองเอเจ้นท์ในเชิงบวกมากขึ้นด้วย
.
การได้ข้อมูลที่มาที่ไปของตัวบ้าน
เป็น Story Selling ให้เอามาเป็นจุดขายได้ดีขึ้น
.
แต่ Feeling ความผูกผันของเจ้าของกับตัวบ้าน
บางครั้งมันเป็นการ add value ราคาของเจ้าของเอง
ที่ทำให้ราคาสูงกว่าปกติไปมาก
.
ดังนั้นเราต้องตบความรู้สึกผูกพันตรงนี้ของเจ้าของทิ้ง
แต่ต้องคุยกันแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น
.
.
.
ในส่วนของลูกค้า
การที่เค้าได้รู้ที่มาที่ไปของบ้านหลังนี้
และเสริมกับข้อมูลที่เป็น fact ที่เราหามาเอง
มันทำให้ลูกค้าสามารถชะลอการต่อราคาแรงเกินไป
.
มันคือปราการสำคัญ
ที่เราทำหน้าที่ปกป้องสิทธิประโยชน์ของเจ้าของได้เต็มที่
ที่ทำให้ value บ้านถูกตรึงราคาได้ดีขึ้น
.
ส่วนใหญ่ลูกค้าจะชอบมองว่า
ตัวเองต้องจ่ายเท่าไหร่
แต่เราต้องคุยในลักษณะแบบว่า
คุณจ่ายแล้วได้อะไรมากกว่า
.
ทั้งหมดนี้
เป็นกลยุทธ์ในเกมส์เจรจาต่อรองต่อไป
ว่าเราควรจะเข้าคุยกับฝั่งไหน
เพือที่จะจบดิลได้ง่ายขึ้น
.
(เอเจ้นท์หลายคนเอะอะไปกดราคาเจ้าของเพื่อให้ปิดจบอย่างเดียว ซึ่งมันไม่น่ารัก)
.
ปล.สอนไปหมดแล้วในคอร์ส ได้เอาไปใช้กันมั่งมั้ยเนี่ย
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่