WeChat ID :
ขออนุญาตอธิบายเรื่องนี้ในเชิงนิทาน
นิทานอสังหา EP12 : Flipperสาวกับเรื่องฉาวของการผ่อนตรง
.
.
.
ขอสมมติตัวละครหลักว่า “เอ๋”
เอ๋เป็นนักธุรกิจอสังหาฯที่มีวิสัยทัศน์
มีประสบการณ์ด้านนี้มานาน
จนเอ๋ได้ไปเรียนคอร์สนึง
ที่ชื่อว่า “จับเงินล้านด้วยทรัพย์ NPA”
เมื่อเอ๋เรียนจบคอร์สแล้ว
เอ๋รู้สึกว่าโมเดลธุรกิจนี้สามารถทำเงินให้เอ๋ได้มหาศาล
หลายคนอาจจะสงสัย
ว่าทรัพย์ NPA คืออะไร ?
.
ทรัพย์ NPA (Non-Performing Asset) คือ
ทรัพย์สินที่ธนาคารยึดกลับมาจากลูกหนี้
ที่ผิดนัดชำระหนี้
แล้วนำออกขายเพื่อลดภาระหนี้ของตัวเอง
หรือเรียกเงินคืนกลับเข้าธนาคาร
.
หรือทรัพย์บางส่วน
ธนาคารไปซื้อทรัพย์จากกรมบังคับคดี
แล้วนำมาขายต่อ
กล่าวให้เข้าใจง่ายคือ
NPA = บ้านหรือที่ดินที่เคยมีเจ้าของแต่ถูกธนาคารยึด แล้วนำมาขายต่อ
.
NPA เป็นทรัพย์ที่กรรมสิทธิ์อยู่กับธนาคารโดยสมบูรณ์
แต่ธนาคารมักขายในราคาต่ำกว่าตลาด 10–40%
เพื่อระบายพอร์ตสินทรัพย์เสีย
.
ตามหลักของ ธปท.
ธนาคารจะถือทรัพย์ NPA ได้ 5 ปี (อาจขยายได้ถึง 10ปี)
และการที่ธนาคารถือทรัพย์ NPA มากเกินไป
ธนาคารจะต้องมีทุนสำรองเท่ากับมูลค่าทรัพย์ NPA
และอาจถูกสั่งให้จำกัดธุรกรรมบางอย่างลง
ดังนั้นธนาคารจะต้องหาวิธีที่ระบายทรัพย์เหล่านี้ให้ไวที่สุด
.
ลูกค้าหลักในการซื้อทรัพย์ NPA
แทนที่จะเป็นคนซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง (real demand)
แต่กลับเป็นเหล่านักลงทุนต่างหาก
.
ถึงแม้ธนาคารจะเอ่ยปากว่า
ไม่สนับสนุนให้ซื้อทรัพย์ไปเพื่อทำธุรกิจ
แต่คำว่าไม่สนับสนุน
.
ประกอบกับกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีเงินสด
และสามารถมีเงินซื้อทรัพย์ NPA ได้ทีละจำนวนมาก
ยิ่งซื้อที่ lot นึง 5 หลัง 10 หลัง
เป็นการเคลียร์ stock
ที่ธนาคารยิ้มมุมปากเบาๆ
เพราะทุกคนต่าง win-win
จึงกลายเป็นพื้นที่สีเทา (grey area)
ที่ธนาคารหลับตาข้างนึงกับเรื่องนี้มาตลอด
ไม่ต่างอะไรกับสุภาษิต
“ปากว่า ตาขยิบ”
.
สาเหตุที่ผู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง
ไม่ใช่กลุ่มลูกค้าหลัก
เป็นเพราะทรัพย์ NPA
จะเป็นการขายทรัพย์ตามสภาพ
บ้านมาสภาพไหน
ธนาคารขายตามสภาพนั้น
.
และผู้อยู่อาศัยจริง
ส่วนใหญ่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ
ด้านการปรับปรุงซ่อมแซม
.
การที่ผู้ซื้อจะปรับปรุงเอง
ก็กลัวต้นทุนจะบานปลาย
หรือจะจ้างช่างหรือ ผรม.
ก็กลัวโดนโกง
.
จึงเป็นช่องทางให้คนอย่างเอ๋
ผู้ที่มีความรู้ด้านการปรับปรุงซ่อมแซม (Renovate)
ซื้อทรัพย์ NPA
นำมาแต่งหน้าทาปากใหม่
ให้มีความสวยงาม พร้อมอยู่
และสามารถนำมาขายเพิ่มราคา
เป็นรายได้ที่ทำกำไรให้กับเอ๋อย่างมหาศาล
.
ในวงการอสังหา
จะเรียกคนอย่างเอ๋ว่า”ฟลิปเปอร์” (Flipper)
ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฏหมายหรือมีข้อห้ามใดๆ
.
ธนาคารมีให้เงื่อนไขพิเศษในการซื้อทรัพย์ NPA
นั่นคือการผ่อนดาวน์
เพื่อลดภาระการใช้เงินก้อนของผู้ซื้อ เช่น
1.จ่ายมัดจำ 10%
2.ปิดยอดเต็มที่เหลือภายใน 1–2 ปี
3.หรือให้กู้ซื้อต่อกับธนาคารเอง
ซึ่งเป็นโนบายเพื่อสร้างแรงจูงใจ
ให้คนมาซื้อทรัพย์ NPA
.
ในสัญญาของการผ่อนดาวน์ของธนาคารนั้น
สาระสำคัญมีดังนี้
1.ถ้าทรัพย์มีชำรุดบกพร่องหรือมีการเสื่อมสิทธิการใช้ประโยชน์ใดๆ ผู้จะซื้อไม่ยกเป็นข้อปฏิเสธในการรับซื้อทรัพย์ดังกล่าว ว่าง่ายๆคือ “ขายทรัพย์ตามสภาพ”
.
2.ถ้าเนื้อที่ดินมีขาดตกหรือเพิ่มจำนวนไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้ในสัญญา ผู้จะซื้อไม่เรียกร้องเพิ่มหรือลดราคาหรือคืนราคาจะซื้อจะขาย ถ้าเกิน 5% ก็ไม่ถือเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญา
.
3.ห้ามผิดนัดการส่งงวด 1-3 งวด(แล้วแต่ธนาคาร)
.
4.หากผู้จะซื้อต้องการเข้าทำประโยชน์หรือเข้าอยู่อาศัย จะต้องชำระเงินเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1.5% ของราคาจะซื้อจะขาย โดยเงินยอดนี้หักจากยอดราคาในสัญญาไปด้วย
.
5.ถ้ามีการอยู่อาศัยในทรัพย์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าภาษีและค่าบริการอื่น ๆที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ของทรัพย์นั้น ผู้จะซื้อเป็นผู้รับผิดชอบ หรือถ้ามีค่าอะไรค้างอยู่ก่อนหน้านี้ ผู้จะซื้อจะต้องเป็นผู้เคลียร์ทั้งหมดเองเช่นกัน
.
6.ผู้จะซื้อทราบดีว่าทรัพย์ที่จะซื้อจะขายเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการประมูลซื้อจากการขายทอดตลาด หากศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าว หรือมีเหตุอะไรที่ทำให้โอนกรรมสิทธิ์แก่ผู้จะซื้อไม่ได้ ผู้จะขายยินดีคืนเงินทั้งหมดโดยผู้จะซื้อไม่คิดดอกเบี้ยหรือความเสียหายกับผู้จะขาย
.
7.กรณีที่ผู้จะซื้อมีความต้องการจะปรับปรุงหรือซ่อมแซมทรัพย์ มีการติดตั้งอุปกรณ์ติดตรึงถาวรเป็นอุปกรณ์ส่วนควบของทรัพย์สินที่จะขาย ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้จะขายหรือไม่ก็ตาม หากมีการบอกเลิกสัญญาฉบับนี้ การซ่อมแซมจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้จะขายโดยผู้จะซื้อไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใดๆกับผู้จะขาย
.
.
.
เมื่อมี gap เวลาในการจ่ายยอดทั้งหมด 1-2 ปี
จึงเป็นช่วงเวลาที่ Flipper
จะต้องรีโนเวทบ้านจนเสร็จและหาลูกค้ามาซื้อ
.
ซึ่งการทำงานปกติของ Flipper
จะเน้นหาลูกค้าที่สามารถซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ได้เลย
เช่น ซื้อเงินสด,ผู้ที่สามารถขอสินเชื่อได้
.
แต่เอ๋มองว่า
ยังมีกลุ่มลูกค้าอีกกลุ่มนึง
ที่มีศักยภาพในการซื้อบ้าน
แต่ขอสินเชื่อไม่ผ่าน
และเอ๋อยากรักษาฐานลูกค้าที่อยากมีบ้าน
แต่ยังไม่พร้อมเรื่องสินเชื่อกลุ่มนี้ไว้
.
ประกอบกับในสัญญาผ่อนดาวน์ของธนาคารตามที่เอ๋เข้าใจ
ไม่ได้มีการกำหนดเรื่องของการเช่า,เช่าซื้อ,เช่าช่วงหรือทำสัญญาซ้อนใดๆ
อาจจะมีเพียงค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์เท่านั้น
.
และเอ๋มองว่า
ธนาคารคงสนใจแค่
ให้ผู้จะซื้อทำวิธีการใดๆก็ได้
ขอแค่อย่าขาดส่งงวด
และมาจ่ายส่วนที่เหลือในเวลาที่กำหนดก็พอ
.
เอ๋จึงเกิดโมเดลการทำ”สัญญาเช่าซื้อ” ขึ้น
เป็นการให้ลูกค้าผ่อนค่างวดตรงกับทางเอ๋
พร้อมกับแต่งตัวการเงินให้กับลูกค้าไปด้วย
#นี่คือจุดที่เอ๋ทำธุรกิจต่างจากFlipperเจ้าอื่น
.
โดยเอ๋มองว่า
ผู้ซื้อใหม่ที่ไม่มี profile ทางการเงินกับธนาคาร
และยังมีระยะเวลาในการชำระงวดที่เหลือ
เอ๋จึงใช้วิธีการ #makeการเดินเอกสารทางบัญชีขึ้นมา
.
เพราะการขอสินเชื่อ
จากการพิจารณารายได้ที่เป็นการประกอบธุรกิจ
จะมีเงื่อนไขมากมาย
ทั้งการจดทะเบียน อายุการทำธุรกิจ
รายได้ที่ต้องได้ตามเกณฑ์อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงต้องเก็บเอกสารมากมาย
.
ถ้าปล่อยให้ลูกค้าจัดการเอง
เอ๋มองว่าไม่น่าจะอนุมัติสินเชื่อไม่ผ่านแน่ๆ
และเอ๋จะเสียการทำเงินจากกลุ่มลูกค้านี้ไป
.
โดยเอ๋ได้ให้แนวทางกับผู้จะซื้อใหม่ว่า
ระหว่างที่ส่งงวดผ่อนรายเดือน
ให้มาเป็นพนักงานบริษัทเอ๋
มีการเดินรายได้รูปแบบพนักงานเงินเดือน
มีรายได้นำส่งภาษีและประกันสังคม
ซึ่งเป็นการนำส่งรายได้
ที่ธนาคารพิจารณาสินเชื่อให้ได้ง่ายที่สุด
.
เมื่อธนาคารอนุมัติสินเชื่อให้กับผู้ซื้อใหม่
ผู้ซื้อใหม่ก็ไปผ่อนกับธนาคารต่อ
ส่วนต่างของเอ๋
ก็ cover กับวงเงินที่ธนาคารให้มา
หรืออาจจะเป็นลักษณะเงินทอนคืนมา
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามนั้น
ถือว่าอันปิดจ็อบ
.
.
.
แต่เอ๋อาจคิดไม่ถึงว่า
การทำสัญญาเช่าซื้อนั้น
ตามหลักกฎหมาย
#คู่สัญญาจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เท่านั้น
แต่ตอนนี้เอ๋เป็นเพียง “ผู้ครอบครองชั่วคราว”
.
แต่ในเมื่อกรรมสิทธิ์ยังเป็นของทางธนาคาร
จนกว่าเอ๋หรือลูกค้าจะไปไถ่ถอน
นั่นแปลว่าสัญญาเช่าซื้อที่เอ๋ทำกับลูกค้า
(ป.พ.พ. ม 137 และ 1357)
.
ค่าผ่อนงวดที่ผู้จะซื้อส่งให้เอ๋ทุกงวด
เอ๋ต้องคืนทั้งหมด
การที่ลูกค้าไม่ส่งต่องวดต่อ
เอ๋ไม่มีสิทธิ์ริบค่างวดของลูกค้า
.
แต่ในทางกลับกัน
ผู้ซื้อใหม่เอง
ก็ได้มีการเข้าไปอยู่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่แล้ว
เอ๋อาจจะเรียกร้องให้หักค่าใช้จ่ายบางส่วนได้
ซึ่งเชื่อว่าคนอย่างเอ๋จะสู้ใน way นี้
เพื่อลดความเสียหายตัวเองลง
.
แต่ลูกค้าก็สามารถฟ้องเรียกเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยได้เช่นกัน
(มาตรฐานดอกเบี้ยปรับอยู่ที่ 5% ต่อปี)
เรียกว่าแลกกันคนละหมัด
.
การที่เอ๋นำทรัพย์นั้นไปทำสัญญาเช่าซื้อกับคนอื่น
ถือว่าเป็นการ “ยักยอกทรัพย์ธนาคาร”
(ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)
.
และการที่เอ๋รับเงินค่างวดของผู้จะซื้อใหม่ทุกเดือน
โดย"อาจจะ"เจตนาหลอก
หรือปิดบังเรื่องของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง
.
อาจเข้าเรื่อง “ฉ้อโกง” อีกกระทงนึง
(ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)
.
และด้วยเหตุนี้
ธนาคารอ้างสิทธิบอกเลิกสัญญาเดิมทันที
หากตรวจพบว่าผู้ซื้อ “โอนสิทธิหรือให้เช่าช่วง”
โดยไม่ได้รับอนุญาต
ธนาคารสามารถถือว่าผิดสัญญา
และริบเงินที่ชำระไป
พร้อมยึดทรัพย์กลับคืนได้
.
การที่เอ๋เดินบัญชีทางการเงินแบบไม่ถูกต้องให้กับลูกค้า
ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
ตรงนี้ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน
ถ้าลูกค้ามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วย
ลูกค้าเองก็จะมีโทษทางกฎหมายด้วยเช่นกัน
.
การปลอมแปลงเอกสาร เช่น
ใบรับรองรายได้ สลิปเงินเดือน สเตทเมนต์ ธุรกิจปลอม
จะเข้าข่ายความผิดตามบทความเกี่ยวกับเอกสาร
(มาตรา 264, 265 และข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง)
.
ซึ่งมีโทษจำคุกและปรับสูงขึ้นตามชนิดเอกสาร
โดยเอกสารราชการ/เอกสารสิทธิจะมีโทษหนักเป็นพิเศษ
ซึ่งเป็นโทษทางอาญา
.
ถ้าเคสที่ธนาคารที่มีการอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว
ธนาคารสามารถฟ้องเรียก
เงินที่จ่าย–ดอกเบี้ย–ค่าเสียหายคืน
ได้ตามกฎหมายแพ่ง
.
ซึ่งถ้าเอ๋อยากทำให้ถูกต้อง
เอ๋ควรขอหนังสือยินยอมจากธนาคารโดยตรง
ให้ธนาคารทราบว่ามีผู้เช่าหรือผู้ซื้อรายใหม่
และให้ธนาคารทำสัญญาเช่าหรือขาย
ต่อโดยตรงกับบุคคลนั้น
.
ธนาคารบางแห่งอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อผู้ซื้อได้
หลังจากผ่อนครบตามเกณฑ์ขั้นต่ำ
เอ๋แค่เรียกเก็บเงินก้อนส่วนต่าง+กำไรจากลูกค้าก่อนเปลี่ยนสัญญา
ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้
.
ต่อมาเป็นเรื่องของนายทุนจำนอง/ขายฝาก
เข้ามาเกี่ยวข้องกับเคสนี้ได้อย่างไร
.
สืบเนื่องจากการที่เอ๋กำลังเดินบัญชีการเงินให้ลูกค้าอยู่นั้น
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
หนี้เสีย(NPL) สูงขึ้นมาก
ส่งผลให้ลูกค้าของเอ๋บางเคส
ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ
ถึงแม้ว่าจะมีการวางแผนเดินบัญชีมาแล้ว
#จุดนี้แหละที่เป็นจุดชิบหายของเอ๋
.
เมื่อลูกค้าขอสินเชื่อไม่ได้
เอ๋ต้องหาเงินมาปิดยอดกับธนาคารให้ได้
เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียเครดิตกับลูกค้า
.
เอ๋จึงนำทรัพย์สินที่เป็นชื่อของตัวเอง
ที่มีกรรมสิทธิ์เป็นของเอ๋โดยสมบูรณ์แล้ว
ไปเสนอจำนอง/ขายฝากกับนายทุน
.
ซึ่งเชื่อว่าเป็นลักษณะการจำนองกับนายทุน
เพราะถ้าเป็นการขายฝาก
แล้วการถือครองไม่ตรงตามเงื่อนไขของกรมที่ดิน
เอ๋มีโอกาสเสียค่า “ธุรกิจเฉพาะ 3.3%”
ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก
ทำให้เอ๋เหลือเงินน้อยลงไปอีก
.
ค่าธรรมเนียมของการทำจำนอง
จะเสียค่าจดจำนองอยู่ที่ 1 % ของราคาจดทะเบียน
แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
และไม่ต้องเสียค่าธุรกิจเฉพาะกับภาษีเงินได้
.
และข้อตกลงของการรับจำนอง
จะไม่ได้เงินครบตามที่เรียกขออยู่แล้ว
จะต้องมีการหักตามเงื่อนไขบางอย่างก่อน
นั่นคือ ค่าจดจำนอง หักดอกเบี้ยล่วงหน้าและค่าปากถุง
.
ยกตัวอย่างเช่น ยอดวงเงินทรัพย์ตกลงกันที่ 100 บาท
นายทุนจะหักค่าจำนอง 1%
และดอกเบี้ยล่วงหน้า 2 เดือน
เรทดอกเบี้ยที่นายทุนให้ 1% ต่อเดือน = 2%
อาจจะมีค่าปากถุงอีก 7 % (ขายฝาก 5%)
ดังนั้นจากที่เอ๋ได้ยอดจำนอง 100
เอ๋จะเหลือเพียง 100-1-2-7 = 90 เท่านั้น
.
สรุปง่ายๆ
อนุมัติเงินจำนอง 100 บาท
เอ๋ได้จริง 90 บาท
แต่ต้องไถ่ถอนที่ 112 บาท (ดอก 12%ต่อปีหรือ 1%ต่อเดือน)
.
และยอดจำนองส่วนใหญ่
จะได้มากสุดที่ 30-40% ของราคาตลาด
นั่นหมายความว่า
เอ๋จะต้องใช้ทรัพย์ที่เป็นชื่อตัวเอง 3 ทรัพย์
เพื่อมาไถ่ถอนให้ลูกค้า 1 ทรัพย์
.
จึงเป็นสาเหตุให้เอ๋ต้องเอาทรัพย์ใหม่เข้าจำนอง
เพื่อไถ่ถอนทรัพย์เก่าให้ลูกค้า
และด้วยความที่เอ๋ถือทรัพย์
อยู่เป็นจำนวนมาก
เอ๋เริ่มขาสั่น
.
จังหวะนรกโชคดีไม่ดี
ที่ผู้จะซื้อใหม่ผิดนัดชำระค่างวด
สิ่งที่แบกไว้จึงพังทลายลง
#ฟันเฟืองการเงินของเอ๋จึงขาดสะบั้น
.
.
ทรัพย์ที่เอ๋เอาเข้าจำนอง
ก็ดันมีลูกค้าผ่อนตรงอาศัยอยู่เช่นกัน
.
เมื่อเอ๋เกิดปัญหาเป็นลูกโซ่ ล้มเป็นโดมิโน่
แล้วไม่มาไถ่ถอนทรัพย์กับนายทุนจำนองตามกำหนด
นายทุนจึงฟ้องยึดทรัพย์ตามกฎหมาย
ทำให้ลูกค้าที่กำลังผ่อนทรัพย์ที่เข้าจำนอง
ต้องเดือดร้อนไปด้วย
.
ถึงตอนนี้
Business model ที่ตัวเองเคยวาดฝันไว้ทั้งหมด
โดยเอาตัวเองเป็นตัวกลางทั้งหมดของเรื่องนี้
ที่ตอนแรกดูสวยงามไปหมด
.
แต่เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น
ลูกค้าผ่อนตรงโดนแบงค์/นายทุนจำนองยึด
นายทุนต้องฟ้องเพื่อไปตามยึดทรัพย์จำนองต่อ
เอ๋เสียหายในชื่อเสียงและธุรกิจเป็นอย่างมาก
และอาจถูกดำเนินคดีอาญาหลายข้อหา
.
เมื่อทุกอย่างกลายเป็นปมเงื่อนตาย
ที่รัดคอตัวเองอย่างแน่นหนา
เงินสดหมุนเวียนที่มี
ก็เอาไปรันธุรกิจหมุนเวียนหมดแล้ว
.
เมื่อทำอะไรไม่ได้
เอ๋ตัดสินใจระเบิดตัวเอง
พร้อมกับทิ้งท้ายว่า
“อยากได้ก็ไปฟ้องเอา”
.
อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว
จะเห็นได้ว่าตัวละครทั้งหมด
ไม่ได้ใสอย่างที่ทุกคนเข้าใจ
ทุกคนต่างพร้อมใจกันเล่นเกมส์
โดยถือมีดคนละเล่ม
และนั่งอยู่บนเก้าอี้ 3 ขา
.
ตอนแรกก็นั่งกันอย่างราบรื่นอยู่ดีๆ
โชคไม่ดีที่ขาที่หักดันเป็นฝั่งของเอ๋
และเมื่อเอ๋ล้ม
มีดของทุกคนเลยพุ่งไปที่เอ๋โดยอัตโนมัติ
.
เอ๋พยายาม Defend ตัวเอง
ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่มี
เพราะในมุมของเอ๋คงมองว่า
"ถ้ากูผิด ก็ผิดกันทั้งหมด ไม่ใช่โทษกูผิดอยู่คนเดียว"
.
สุดท้าย
ผมเชื่อว่าถ้าเอ๋โดนดำเนินคดีจริงๆ
คนอย่างเอ๋ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แน่นอน
จบนิทาน EP.12
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่