นิทานอสังหา EP.12 | ฟลิปเปอร์สาวกับเรื่องฉาวการผ่อนตรง

จากโมเดลธุรกิจ NPA สู่คดีฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ | นิทานสอนใจวงการอสังหา

post date  โพสต์เมื่อ 19 พ.ย. 2568   view 420405
article

ขออนุญาตอธิบายเรื่องนี้ในเชิงนิทาน

นิทานอสังหา EP12 : Flipperสาวกับเรื่องฉาวของการผ่อนตรง

.

.

.

ขอสมมติตัวละครหลักว่า “เอ๋”

เอ๋เป็นนักธุรกิจอสังหาฯที่มีวิสัยทัศน์

มีประสบการณ์ด้านนี้มานาน

จนเอ๋ได้ไปเรียนคอร์สนึง

ที่ชื่อว่า “จับเงินล้านด้วยทรัพย์ NPA”

เมื่อเอ๋เรียนจบคอร์สแล้ว

เอ๋รู้สึกว่าโมเดลธุรกิจนี้สามารถทำเงินให้เอ๋ได้มหาศาล

หลายคนอาจจะสงสัย

ว่าทรัพย์ NPA คืออะไร ?

.

ทรัพย์ NPA (Non-Performing Asset) คือ

ทรัพย์สินที่ธนาคารยึดกลับมาจากลูกหนี้

ที่ผิดนัดชำระหนี้

แล้วนำออกขายเพื่อลดภาระหนี้ของตัวเอง

หรือเรียกเงินคืนกลับเข้าธนาคาร

.

หรือทรัพย์บางส่วน

ธนาคารไปซื้อทรัพย์จากกรมบังคับคดี

แล้วนำมาขายต่อ

กล่าวให้เข้าใจง่ายคือ

NPA = บ้านหรือที่ดินที่เคยมีเจ้าของแต่ถูกธนาคารยึด แล้วนำมาขายต่อ

.

NPA เป็นทรัพย์ที่กรรมสิทธิ์อยู่กับธนาคารโดยสมบูรณ์

แต่ธนาคารมักขายในราคาต่ำกว่าตลาด 10–40%

เพื่อระบายพอร์ตสินทรัพย์เสีย

.

ตามหลักของ ธปท.

ธนาคารจะถือทรัพย์ NPA ได้ 5 ปี (อาจขยายได้ถึง 10ปี)

และการที่ธนาคารถือทรัพย์ NPA มากเกินไป

ธนาคารจะต้องมีทุนสำรองเท่ากับมูลค่าทรัพย์ NPA

และอาจถูกสั่งให้จำกัดธุรกรรมบางอย่างลง

ดังนั้นธนาคารจะต้องหาวิธีที่ระบายทรัพย์เหล่านี้ให้ไวที่สุด

.

ลูกค้าหลักในการซื้อทรัพย์ NPA

แทนที่จะเป็นคนซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง (real demand)

แต่กลับเป็นเหล่านักลงทุนต่างหาก

.

ถึงแม้ธนาคารจะเอ่ยปากว่า

ไม่สนับสนุนให้ซื้อทรัพย์ไปเพื่อทำธุรกิจ

แต่คำว่าไม่สนับสนุน

#ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้

.

ประกอบกับกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีเงินสด

และสามารถมีเงินซื้อทรัพย์ NPA ได้ทีละจำนวนมาก

ยิ่งซื้อที่ lot นึง 5 หลัง 10 หลัง

เป็นการเคลียร์ stock

ที่ธนาคารยิ้มมุมปากเบาๆ

เพราะทุกคนต่าง win-win

จึงกลายเป็นพื้นที่สีเทา (grey area)

ที่ธนาคารหลับตาข้างนึงกับเรื่องนี้มาตลอด

ไม่ต่างอะไรกับสุภาษิต

“ปากว่า ตาขยิบ”

.

สาเหตุที่ผู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง

ไม่ใช่กลุ่มลูกค้าหลัก

เป็นเพราะทรัพย์ NPA

จะเป็นการขายทรัพย์ตามสภาพ

บ้านมาสภาพไหน

ธนาคารขายตามสภาพนั้น

.

และผู้อยู่อาศัยจริง

ส่วนใหญ่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ

ด้านการปรับปรุงซ่อมแซม

.

การที่ผู้ซื้อจะปรับปรุงเอง

ก็กลัวต้นทุนจะบานปลาย

หรือจะจ้างช่างหรือ ผรม.

ก็กลัวโดนโกง

.

จึงเป็นช่องทางให้คนอย่างเอ๋

ผู้ที่มีความรู้ด้านการปรับปรุงซ่อมแซม (Renovate)

ซื้อทรัพย์ NPA

นำมาแต่งหน้าทาปากใหม่

ให้มีความสวยงาม พร้อมอยู่

และสามารถนำมาขายเพิ่มราคา

เป็นรายได้ที่ทำกำไรให้กับเอ๋อย่างมหาศาล

.

ในวงการอสังหา

จะเรียกคนอย่างเอ๋ว่า”ฟลิปเปอร์” (Flipper)

ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฏหมายหรือมีข้อห้ามใดๆ

.

ธนาคารมีให้เงื่อนไขพิเศษในการซื้อทรัพย์ NPA

นั่นคือการผ่อนดาวน์

เพื่อลดภาระการใช้เงินก้อนของผู้ซื้อ เช่น

1.จ่ายมัดจำ 10%

2.ปิดยอดเต็มที่เหลือภายใน 1–2 ปี

3.หรือให้กู้ซื้อต่อกับธนาคารเอง

ซึ่งเป็นโนบายเพื่อสร้างแรงจูงใจ

ให้คนมาซื้อทรัพย์ NPA

.

ในสัญญาของการผ่อนดาวน์ของธนาคารนั้น

สาระสำคัญมีดังนี้

1.ถ้าทรัพย์มีชำรุดบกพร่องหรือมีการเสื่อมสิทธิการใช้ประโยชน์ใดๆ ผู้จะซื้อไม่ยกเป็นข้อปฏิเสธในการรับซื้อทรัพย์ดังกล่าว ว่าง่ายๆคือ “ขายทรัพย์ตามสภาพ”

.

2.ถ้าเนื้อที่ดินมีขาดตกหรือเพิ่มจำนวนไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้ในสัญญา ผู้จะซื้อไม่เรียกร้องเพิ่มหรือลดราคาหรือคืนราคาจะซื้อจะขาย ถ้าเกิน 5% ก็ไม่ถือเป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญา

.

3.ห้ามผิดนัดการส่งงวด 1-3 งวด(แล้วแต่ธนาคาร)

.

4.หากผู้จะซื้อต้องการเข้าทำประโยชน์หรือเข้าอยู่อาศัย จะต้องชำระเงินเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1.5% ของราคาจะซื้อจะขาย โดยเงินยอดนี้หักจากยอดราคาในสัญญาไปด้วย

.

5.ถ้ามีการอยู่อาศัยในทรัพย์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าภาษีและค่าบริการอื่น ๆที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ของทรัพย์นั้น ผู้จะซื้อเป็นผู้รับผิดชอบ หรือถ้ามีค่าอะไรค้างอยู่ก่อนหน้านี้ ผู้จะซื้อจะต้องเป็นผู้เคลียร์ทั้งหมดเองเช่นกัน

.

6.ผู้จะซื้อทราบดีว่าทรัพย์ที่จะซื้อจะขายเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการประมูลซื้อจากการขายทอดตลาด หากศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าว หรือมีเหตุอะไรที่ทำให้โอนกรรมสิทธิ์แก่ผู้จะซื้อไม่ได้ ผู้จะขายยินดีคืนเงินทั้งหมดโดยผู้จะซื้อไม่คิดดอกเบี้ยหรือความเสียหายกับผู้จะขาย

.

7.กรณีที่ผู้จะซื้อมีความต้องการจะปรับปรุงหรือซ่อมแซมทรัพย์ มีการติดตั้งอุปกรณ์ติดตรึงถาวรเป็นอุปกรณ์ส่วนควบของทรัพย์สินที่จะขาย ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้จะขายหรือไม่ก็ตาม หากมีการบอกเลิกสัญญาฉบับนี้ การซ่อมแซมจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้จะขายโดยผู้จะซื้อไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใดๆกับผู้จะขาย

.

.

.

เมื่อมี gap เวลาในการจ่ายยอดทั้งหมด 1-2 ปี

จึงเป็นช่วงเวลาที่ Flipper

จะต้องรีโนเวทบ้านจนเสร็จและหาลูกค้ามาซื้อ

.

ซึ่งการทำงานปกติของ Flipper

จะเน้นหาลูกค้าที่สามารถซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ได้เลย

เช่น ซื้อเงินสด,ผู้ที่สามารถขอสินเชื่อได้

.

แต่เอ๋มองว่า

ยังมีกลุ่มลูกค้าอีกกลุ่มนึง

ที่มีศักยภาพในการซื้อบ้าน

แต่ขอสินเชื่อไม่ผ่าน

และเอ๋อยากรักษาฐานลูกค้าที่อยากมีบ้าน

แต่ยังไม่พร้อมเรื่องสินเชื่อกลุ่มนี้ไว้

.

ประกอบกับในสัญญาผ่อนดาวน์ของธนาคารตามที่เอ๋เข้าใจ

ไม่ได้มีการกำหนดเรื่องของการเช่า,เช่าซื้อ,เช่าช่วงหรือทำสัญญาซ้อนใดๆ

อาจจะมีเพียงค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์เท่านั้น

.

และเอ๋มองว่า

ธนาคารคงสนใจแค่

ให้ผู้จะซื้อทำวิธีการใดๆก็ได้

ขอแค่อย่าขาดส่งงวด

และมาจ่ายส่วนที่เหลือในเวลาที่กำหนดก็พอ

.

เอ๋จึงเกิดโมเดลการทำ”สัญญาเช่าซื้อ” ขึ้น

เป็นการให้ลูกค้าผ่อนค่างวดตรงกับทางเอ๋

พร้อมกับแต่งตัวการเงินให้กับลูกค้าไปด้วย

#นี่คือจุดที่เอ๋ทำธุรกิจต่างจากFlipperเจ้าอื่น

.

โดยเอ๋มองว่า

ผู้ซื้อใหม่ที่ไม่มี profile ทางการเงินกับธนาคาร

และยังมีระยะเวลาในการชำระงวดที่เหลือ

เอ๋จึงใช้วิธีการ #makeการเดินเอกสารทางบัญชีขึ้นมา

.

เพราะการขอสินเชื่อ

จากการพิจารณารายได้ที่เป็นการประกอบธุรกิจ

จะมีเงื่อนไขมากมาย

ทั้งการจดทะเบียน อายุการทำธุรกิจ

รายได้ที่ต้องได้ตามเกณฑ์อย่างต่อเนื่อง

รวมถึงต้องเก็บเอกสารมากมาย

.

ถ้าปล่อยให้ลูกค้าจัดการเอง

เอ๋มองว่าไม่น่าจะอนุมัติสินเชื่อไม่ผ่านแน่ๆ

และเอ๋จะเสียการทำเงินจากกลุ่มลูกค้านี้ไป

.

โดยเอ๋ได้ให้แนวทางกับผู้จะซื้อใหม่ว่า

ระหว่างที่ส่งงวดผ่อนรายเดือน

ให้มาเป็นพนักงานบริษัทเอ๋

มีการเดินรายได้รูปแบบพนักงานเงินเดือน

มีรายได้นำส่งภาษีและประกันสังคม

ซึ่งเป็นการนำส่งรายได้

ที่ธนาคารพิจารณาสินเชื่อให้ได้ง่ายที่สุด

.

เมื่อธนาคารอนุมัติสินเชื่อให้กับผู้ซื้อใหม่

ผู้ซื้อใหม่ก็ไปผ่อนกับธนาคารต่อ

ส่วนต่างของเอ๋

ก็ cover กับวงเงินที่ธนาคารให้มา

หรืออาจจะเป็นลักษณะเงินทอนคืนมา

ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามนั้น

ถือว่าอันปิดจ็อบ

.

.

.

แต่เอ๋อาจคิดไม่ถึงว่า

การทำสัญญาเช่าซื้อนั้น

ตามหลักกฎหมาย

#คู่สัญญาจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เท่านั้น

แต่ตอนนี้เอ๋เป็นเพียง “ผู้ครอบครองชั่วคราว”

.

แต่ในเมื่อกรรมสิทธิ์ยังเป็นของทางธนาคาร

จนกว่าเอ๋หรือลูกค้าจะไปไถ่ถอน

นั่นแปลว่าสัญญาเช่าซื้อที่เอ๋ทำกับลูกค้า

#ถือเป็นสัญญาโมฆะ

(ป.พ.พ. ม 137 และ 1357)

.

ค่าผ่อนงวดที่ผู้จะซื้อส่งให้เอ๋ทุกงวด

เอ๋ต้องคืนทั้งหมด

การที่ลูกค้าไม่ส่งต่องวดต่อ

เอ๋ไม่มีสิทธิ์ริบค่างวดของลูกค้า

.

แต่ในทางกลับกัน

ผู้ซื้อใหม่เอง

ก็ได้มีการเข้าไปอยู่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่แล้ว

เอ๋อาจจะเรียกร้องให้หักค่าใช้จ่ายบางส่วนได้

ซึ่งเชื่อว่าคนอย่างเอ๋จะสู้ใน way นี้

เพื่อลดความเสียหายตัวเองลง

.

แต่ลูกค้าก็สามารถฟ้องเรียกเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยได้เช่นกัน

(มาตรฐานดอกเบี้ยปรับอยู่ที่ 5% ต่อปี)

เรียกว่าแลกกันคนละหมัด

.

การที่เอ๋นำทรัพย์นั้นไปทำสัญญาเช่าซื้อกับคนอื่น

ถือว่าเป็นการ “ยักยอกทรัพย์ธนาคาร”

(ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

.

และการที่เอ๋รับเงินค่างวดของผู้จะซื้อใหม่ทุกเดือน

โดย"อาจจะ"เจตนาหลอก

หรือปิดบังเรื่องของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง

.

อาจเข้าเรื่อง “ฉ้อโกง” อีกกระทงนึง

(ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343

โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

.

และด้วยเหตุนี้

ธนาคารอ้างสิทธิบอกเลิกสัญญาเดิมทันที

หากตรวจพบว่าผู้ซื้อ “โอนสิทธิหรือให้เช่าช่วง”

โดยไม่ได้รับอนุญาต

ธนาคารสามารถถือว่าผิดสัญญา

และริบเงินที่ชำระไป

พร้อมยึดทรัพย์กลับคืนได้

.

การที่เอ๋เดินบัญชีทางการเงินแบบไม่ถูกต้องให้กับลูกค้า

ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย

ตรงนี้ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน

ถ้าลูกค้ามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วย

ลูกค้าเองก็จะมีโทษทางกฎหมายด้วยเช่นกัน

.

การปลอมแปลงเอกสาร เช่น

ใบรับรองรายได้ สลิปเงินเดือน สเตทเมนต์ ธุรกิจปลอม

จะเข้าข่ายความผิดตามบทความเกี่ยวกับเอกสาร

(มาตรา 264, 265 และข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง)

.

ซึ่งมีโทษจำคุกและปรับสูงขึ้นตามชนิดเอกสาร

โดยเอกสารราชการ/เอกสารสิทธิจะมีโทษหนักเป็นพิเศษ

ซึ่งเป็นโทษทางอาญา

.

ถ้าเคสที่ธนาคารที่มีการอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว

ธนาคารสามารถฟ้องเรียก

เงินที่จ่าย–ดอกเบี้ย–ค่าเสียหายคืน

ได้ตามกฎหมายแพ่ง

.

ซึ่งถ้าเอ๋อยากทำให้ถูกต้อง

เอ๋ควรขอหนังสือยินยอมจากธนาคารโดยตรง

ให้ธนาคารทราบว่ามีผู้เช่าหรือผู้ซื้อรายใหม่

และให้ธนาคารทำสัญญาเช่าหรือขาย

ต่อโดยตรงกับบุคคลนั้น

.

ธนาคารบางแห่งอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อผู้ซื้อได้

หลังจากผ่อนครบตามเกณฑ์ขั้นต่ำ

เอ๋แค่เรียกเก็บเงินก้อนส่วนต่าง+กำไรจากลูกค้าก่อนเปลี่ยนสัญญา

ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้

#จบเรื่องเอ๋กับลูกค้า

.

ต่อมาเป็นเรื่องของนายทุนจำนอง/ขายฝาก

เข้ามาเกี่ยวข้องกับเคสนี้ได้อย่างไร

.

สืบเนื่องจากการที่เอ๋กำลังเดินบัญชีการเงินให้ลูกค้าอยู่นั้น

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

หนี้เสีย(NPL) สูงขึ้นมาก

ส่งผลให้ลูกค้าของเอ๋บางเคส

ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ

ถึงแม้ว่าจะมีการวางแผนเดินบัญชีมาแล้ว

#จุดนี้แหละที่เป็นจุดชิบหายของเอ๋

.

เมื่อลูกค้าขอสินเชื่อไม่ได้

เอ๋ต้องหาเงินมาปิดยอดกับธนาคารให้ได้

เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียเครดิตกับลูกค้า

.

เอ๋จึงนำทรัพย์สินที่เป็นชื่อของตัวเอง

ที่มีกรรมสิทธิ์เป็นของเอ๋โดยสมบูรณ์แล้ว

ไปเสนอจำนอง/ขายฝากกับนายทุน

.

ซึ่งเชื่อว่าเป็นลักษณะการจำนองกับนายทุน

เพราะถ้าเป็นการขายฝาก

แล้วการถือครองไม่ตรงตามเงื่อนไขของกรมที่ดิน

เอ๋มีโอกาสเสียค่า “ธุรกิจเฉพาะ 3.3%”

ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก

ทำให้เอ๋เหลือเงินน้อยลงไปอีก

.

ค่าธรรมเนียมของการทำจำนอง

จะเสียค่าจดจำนองอยู่ที่ 1 % ของราคาจดทะเบียน

แต่ไม่เกิน 200,000 บาท

และไม่ต้องเสียค่าธุรกิจเฉพาะกับภาษีเงินได้

.

และข้อตกลงของการรับจำนอง

จะไม่ได้เงินครบตามที่เรียกขออยู่แล้ว

จะต้องมีการหักตามเงื่อนไขบางอย่างก่อน

นั่นคือ ค่าจดจำนอง หักดอกเบี้ยล่วงหน้าและค่าปากถุง

.

ยกตัวอย่างเช่น ยอดวงเงินทรัพย์ตกลงกันที่ 100 บาท

นายทุนจะหักค่าจำนอง 1%

และดอกเบี้ยล่วงหน้า 2 เดือน

เรทดอกเบี้ยที่นายทุนให้ 1% ต่อเดือน = 2%

อาจจะมีค่าปากถุงอีก 7 % (ขายฝาก 5%)

ดังนั้นจากที่เอ๋ได้ยอดจำนอง 100

เอ๋จะเหลือเพียง 100-1-2-7 = 90 เท่านั้น

.

สรุปง่ายๆ

อนุมัติเงินจำนอง 100 บาท

เอ๋ได้จริง 90 บาท

แต่ต้องไถ่ถอนที่ 112 บาท (ดอก 12%ต่อปีหรือ 1%ต่อเดือน)

.

และยอดจำนองส่วนใหญ่

จะได้มากสุดที่ 30-40% ของราคาตลาด

นั่นหมายความว่า

เอ๋จะต้องใช้ทรัพย์ที่เป็นชื่อตัวเอง 3 ทรัพย์

เพื่อมาไถ่ถอนให้ลูกค้า 1 ทรัพย์

.

จึงเป็นสาเหตุให้เอ๋ต้องเอาทรัพย์ใหม่เข้าจำนอง

เพื่อไถ่ถอนทรัพย์เก่าให้ลูกค้า

และด้วยความที่เอ๋ถือทรัพย์

อยู่เป็นจำนวนมาก

เอ๋เริ่มขาสั่น

.

จังหวะนรกโชคดีไม่ดี

ที่ผู้จะซื้อใหม่ผิดนัดชำระค่างวด

สิ่งที่แบกไว้จึงพังทลายลง

#ฟันเฟืองการเงินของเอ๋จึงขาดสะบั้น

.

.

ทรัพย์ที่เอ๋เอาเข้าจำนอง

ก็ดันมีลูกค้าผ่อนตรงอาศัยอยู่เช่นกัน

.

เมื่อเอ๋เกิดปัญหาเป็นลูกโซ่ ล้มเป็นโดมิโน่

แล้วไม่มาไถ่ถอนทรัพย์กับนายทุนจำนองตามกำหนด

นายทุนจึงฟ้องยึดทรัพย์ตามกฎหมาย

ทำให้ลูกค้าที่กำลังผ่อนทรัพย์ที่เข้าจำนอง

ต้องเดือดร้อนไปด้วย

.

ถึงตอนนี้

Business model ที่ตัวเองเคยวาดฝันไว้ทั้งหมด

โดยเอาตัวเองเป็นตัวกลางทั้งหมดของเรื่องนี้

ที่ตอนแรกดูสวยงามไปหมด

.

แต่เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น

⚠️ลูกค้าผ่อนตรงโดนแบงค์/นายทุนจำนองยึด

⚠️นายทุนต้องฟ้องเพื่อไปตามยึดทรัพย์จำนองต่อ

⚠️เอ๋เสียหายในชื่อเสียงและธุรกิจเป็นอย่างมาก

⚠️และอาจถูกดำเนินคดีอาญาหลายข้อหา

.

เมื่อทุกอย่างกลายเป็นปมเงื่อนตาย

ที่รัดคอตัวเองอย่างแน่นหนา

เงินสดหมุนเวียนที่มี

ก็เอาไปรันธุรกิจหมุนเวียนหมดแล้ว

.

เมื่อทำอะไรไม่ได้

เอ๋ตัดสินใจระเบิดตัวเอง

พร้อมกับทิ้งท้ายว่า

“อยากได้ก็ไปฟ้องเอา”

.

อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว

จะเห็นได้ว่าตัวละครทั้งหมด

ไม่ได้ใสอย่างที่ทุกคนเข้าใจ

ทุกคนต่างพร้อมใจกันเล่นเกมส์

โดยถือมีดคนละเล่ม

และนั่งอยู่บนเก้าอี้ 3 ขา

.

ตอนแรกก็นั่งกันอย่างราบรื่นอยู่ดีๆ

โชคไม่ดีที่ขาที่หักดันเป็นฝั่งของเอ๋

และเมื่อเอ๋ล้ม

มีดของทุกคนเลยพุ่งไปที่เอ๋โดยอัตโนมัติ

.

เอ๋พยายาม Defend ตัวเอง

ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่มี

เพราะในมุมของเอ๋คงมองว่า

"ถ้ากูผิด ก็ผิดกันทั้งหมด ไม่ใช่โทษกูผิดอยู่คนเดียว"

.

สุดท้าย

ผมเชื่อว่าถ้าเอ๋โดนดำเนินคดีจริงๆ

คนอย่างเอ๋ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แน่นอน

จบนิทาน EP.12

.

ร่วมพูดคุยกันได้ที่

https://www.facebook.com/Ex.MatchingProperty/posts/pfbid0T5aD3unpVStUmMkhPAz2rY2XoAmmVvZ12ACAaMH8MF4iGvdmWxacVu5busXUyKqVl

บทความที่เกี่ยวข้อง (3)