WeChat ID :
ตอนนี้คงหนีไม่พ้นกับกระแส “เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น”
ขนาดคุณ ผจก ยังเปิดดูทั้งวันทั้งคืน
จาก micro-influencer
ที่ขยับสู่ real-time sales personality
.
คนที่แบรนด์ซื้อตัวไป
เพื่อสร้างยอดแบบฉับพลันใน 5-10 นาที
แต่เบื้องหลังความขายดี
คือระบบต้นทุนที่ซับซ้อนกว่าที่เห็นบนจอ
.
ต้นทุนฝั่งแบรนด์ผู้จ้าง
1.ค่าตัวเจนนี่ : 50,000 บาท / ต่อ 1 Live หรือ 1 สินค้าตะกร้า เป็น Base หลัก
2.VAT 7 % ค่าตัวเจนนี่ ที่แบรนด์ต้องรับเอง
3.Platform Fee ของ Tiktok 15 % (หักโดยระบบอัตโนมัติ)
4.อัตราคน “กดแต่ไม่จ่ายเงินจริง” 20–30 % (เรียกว่า fake conversion)
5.การกดราคาสินค้าหน้าไลฟ์ 20–40 %
รวม ๆ แล้ว ระบบนี้คล้ายการ “ซื้อสปอร์ตทีวี” 1 ช่อง
แต่ต้องรับความเสี่ยงยอดขายเองทั้งหมด
.
ถ้าเราลองสมมติตัวแปรที่เห็นกันบ่อยๆ
แบรนด์เล็กขายสินค้าราคา 299 บาทต่อชิ้น
ต้นทุนผลิต pack ขนส่งต่อชิ้น 120 บาท
ขายได้ครบ 1,000 ออเดอร์ใน Live
เรามาลองคำนวนกันดูว่า
จะถึงมือเจ้าของแบรนด์จริงๆกี่บาท
.
1.รายได้รวม 299,000 บาท
2.หักยอดที่ไม่จ่ายจริง 25 % (74,750) > 224,250 บาท
3.หัก Tiktok Fee 15 %(33,637.5) > 190,612.5 บาท
5.หักต้นทุน 90,000 บาท > 100,612.5 บาท
6.หักค่าจ้างเจนนี่ 50,000 บาท > 50,612.25 บาท
7.หัก VAT 7 % ค่าตัวอีก 3,500 บาท > 47,112.25 บาท
.
ซึ่งตัวเลขนี้
ยังไม่รวมค่าแรงทีม Packing
ค่าส่งคืนสินค้า
หรือต้นทุนอื่นๆอีก
.
โดยจุดตัดสำคัญอยู่ที่
ถ้ามียอด order แต่จ่ายไม่จริงที่สูง
อาจกลายเป็นตัวเลขติดลบ
.
หลายคนเห็นตัวเลขแล้วเกิดข้อสงสัย
ว่าขายแล้วขาดทุน จะขายทำไม
ผมขอยืมคำพูดของพิมรี่พายประโยคนึง
“แล้วทำไมกูต้องขายของให้ได้กำไร?”
.
ดังนั้น อย่าดูแต่ด้านของการขาดทุน
เพราะตอนนี้
เจนนี่คือเครื่องมือ
ที่สร้างแรงกระเพื่อมได้รุนแรงมาก
ในตลาด TikTok เมืองไทย
.
ผมเชื่อว่าเจ้าของแบรนด์หลายคน
น่าจะคิดถึงตัวเลขนี้มาแล้วกันทั้งนั้น
ในมุมผู้บริโภค
คงคิดว่าเจ้าของแบรนด์กำลังขายสินค้าอยู่
.
แต่จริงๆ แล้ว
เจ้าของแบรนด์กำลังจ่ายเงิน
เพื่อซื้ออะไรบางอย่างอยู่ต่างหาก
แล้วเค้ากำลังซื้ออะไรล่ะ?
.
.
.
1.พวกเขากำลังซื้อ “Attention” ไม่ใช่ “Profit”
ในยุค TikTok Live มองว่า
Attention = Currency
เมื่อเจนนี่ขึ้นจอ
ยอดวิวพุ่งทันทีหลักแสนในไม่กี่นาที
แบรนด์เล็กที่แทบไม่มีใครรู้จักมาก่อน
จะถูกพูดถึงข้ามคืน
.
จากแบรนด์นิรนาม > กลายเป็นชื่อที่ถูก Search
จากสินค้าธรรมดา > กลายเป็น “ของเจนนี่ขาย”
จาก 0 Trust > กลายเป็น Social Proof
.
แม้ยอดขายจริงจะติดลบ
แต่แบรนด์ได้ Exposure
ที่ต้องจ่ายโฆษณาหลักแสน
ถึงจะเทียบได้
.
เจนนี่จึงไม่ใช่แค่ Presenter ทั่วไป
แต่คือ เครื่องเร่งการรับรู้ในระดับชาติ
.
.
.
2.พวกเขาซื้อ “Trust Borrowing” (ยืมความน่าเชื่อถือ)
กลุ่มลูกค้า TikTok ส่วนใหญ่
“ไม่เชื่อแบรนด์ แต่เชื่อคนขาย”
เจนนี่เป็นBrand Personal
ที่มี emotional connection สูงมากกับแฟนคลับ
มีทั้งความเป็นคนบ้าน ๆ จริงใจ
และมีพลังขายแบบ entertainer
.
เจ้าของแบรนด์ไม่ได้ต้องการเจนนี่
เพื่อขาย 1,000 ชิ้น
แต่ต้องการ เจนนี่ endorse
ให้คนเชื่อว่า
ของเราขายได้จริง
คนแห่มาซื้อจริง
.
ถ้าเจนนี่ขายของนี้ = ของต้องดีแน่
ถ้ามีคนซื้อ 1,000 ออเดอร์ใน 5 นาที = ของนี้กำลังดัง
Trust แบบนี้
ซื้อโฆษณาทางไหนก็ไม่ได้
.
.
.
3.พวกเขาซื้อ “Momentum” เพื่อปั่นแบรนด์ให้ติดตลาด
หลายแบรนด์รู้ว่าขาดทุนใน Live แรก
แต่คาดหวังว่ายอดขายหลัง Live จะโตต่อ
กลยุทธ์นี้เรียกว่า “Loss Leader Strategy”
ขาดทุนในสินค้าชิ้นหนึ่ง
เพื่อเปิดประตูให้สินค้าทั้งร้านขายได้
.
ยกตัวอย่าง:
ขายครีม 299 ขาดทุน
แต่หลัง Live ลูกค้ากลับมาซื้อ
เซรั่ม / กันแดด / ชุดเซ็ต
หรือมี repeat order รอบถัดไป
ในราคาปกติ
.
ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคใน TikTok
ถ้าเคยเห็นสินค้านี้ใน Live ใหญ่ > จะจำชื่อแบรนด์ได้ในรอบต่อไป
.
.
.
4.พวกเขาซื้อ “Algorithm Advantage”
อย่าลืมว่า TikTok
เป็นPlatformที่รางวัล “ยอด Engagement”
การจ้างเจนนี่ = Boost ขนาดใหญ่
ให้ระบบเห็นแบรนด์คุณเป็น “Hot Product”
.
หลัง Live เจนนี่จบ
วิดีโอแบรนด์คุณถูกแนะนำมากขึ้น
ระบบเรียนรู้ว่า “สินค้านี้มี demand”
.
ค่าโฆษณา CPM (cost per impression)
ของแบรนด์คุณถูกลง
เรียกได้ว่า “ขาดทุนเพื่อให้ระบบจำชื่อเรา”
เป็นดีลที่คุ้ม
ถ้าคุณเข้าใจ algorithm
.
.
.
5.พวกเขาซื้อ “Data” เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมจริงของตลาด
แบรนด์ที่ฉลาดใช้ Live แบบนี้
เพื่อ “ทดสอบตลาด”
เช่น
ช่วงราคาไหนลูกค้าซื้อจริง
คำพูดแบบไหนที่กระตุ้นยอด
พฤติกรรมลูกค้าที่สั่งแล้วไม่จ่าย
(กลุ่มไหน, ช่วงเวลาไหน)
ข้อมูลนี้ใช้ปรับกลยุทธ์การขายได้ทั้งปี
และคุ้มค่ากว่าการขาดทุนใน 1 Live
.
.
.
6.พวกเขาซื้อ “Positioning” ในสนามที่คนอื่นไม่กล้าลง
ตลาด TikTok ตอนนี้
เหมือนสนามรบ
ที่มีแค่คนกล้าเผาเงิน
ถึงจะอยู่รอด
.
การที่แบรนด์ประกาศว่า
“เราได้เจนนี่ขายให้”
เท่ากับเป็นสัญญาณว่าแบรนด์นี้
มีทุน มีเกม และมี guts
.
ทำให้ภาพจำของลูกค้า
ของนี้ไม่ใช่แบรนด์บ้าน ๆ แล้วนะ
มันคือการยกสถานะจาก “SME ธรรมดา”
เป็น “แบรนด์ตลาด Mass ” ในเวลาไม่กี่นาที
.
ดังนั้น
เจ้าของแบรนด์รู้ว่า
การจ้างเจนนี่ Live สดให้ = ขาดทุน
แต่เขายอม “ขาดทุนแบบมีเป้าหมาย”
เพื่อซื้อสิ่งที่โฆษณาแบบเดิมให้ไม่ได้
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่