“ทำไม ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ ถึงกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังของแบรนด์ไทย”

จาก micro‑influencer สู่วิถี Live Commerce และเบื้องหลังต้นทุนที่แบรนด์ต้องเข้าใจ”

post date  โพสต์เมื่อ 19 พ.ย. 2568   view 19954860
article

ตอนนี้คงหนีไม่พ้นกับกระแส “เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น”

ขนาดคุณ ผจก ยังเปิดดูทั้งวันทั้งคืน

จาก micro-influencer

ที่ขยับสู่ real-time sales personality

.

คนที่แบรนด์ซื้อตัวไป

เพื่อสร้างยอดแบบฉับพลันใน 5-10 นาที

แต่เบื้องหลังความขายดี

คือระบบต้นทุนที่ซับซ้อนกว่าที่เห็นบนจอ

.

ต้นทุนฝั่งแบรนด์ผู้จ้าง

1.ค่าตัวเจนนี่ : 50,000 บาท / ต่อ 1 Live หรือ 1 สินค้าตะกร้า เป็น Base หลัก

2.VAT 7 % ค่าตัวเจนนี่ ที่แบรนด์ต้องรับเอง

3.Platform Fee ของ Tiktok 15 % (หักโดยระบบอัตโนมัติ)

4.อัตราคน “กดแต่ไม่จ่ายเงินจริง” 20–30 % (เรียกว่า fake conversion)

5.การกดราคาสินค้าหน้าไลฟ์ 20–40 %

รวม ๆ แล้ว ระบบนี้คล้ายการ “ซื้อสปอร์ตทีวี” 1 ช่อง

แต่ต้องรับความเสี่ยงยอดขายเองทั้งหมด

.

ถ้าเราลองสมมติตัวแปรที่เห็นกันบ่อยๆ

แบรนด์เล็กขายสินค้าราคา 299 บาทต่อชิ้น

ต้นทุนผลิต pack ขนส่งต่อชิ้น 120 บาท

ขายได้ครบ 1,000 ออเดอร์ใน Live

เรามาลองคำนวนกันดูว่า

จะถึงมือเจ้าของแบรนด์จริงๆกี่บาท

.

1.รายได้รวม 299,000 บาท

2.หักยอดที่ไม่จ่ายจริง 25 % (74,750) > 224,250 บาท

3.หัก Tiktok Fee 15 %(33,637.5) > 190,612.5 บาท

5.หักต้นทุน 90,000 บาท > 100,612.5 บาท

6.หักค่าจ้างเจนนี่ 50,000 บาท > 50,612.25 บาท

7.หัก VAT 7 % ค่าตัวอีก 3,500 บาท > 47,112.25 บาท

.

ซึ่งตัวเลขนี้

ยังไม่รวมค่าแรงทีม Packing

ค่าส่งคืนสินค้า

หรือต้นทุนอื่นๆอีก

.

โดยจุดตัดสำคัญอยู่ที่

ถ้ามียอด order แต่จ่ายไม่จริงที่สูง

อาจกลายเป็นตัวเลขติดลบ

.

หลายคนเห็นตัวเลขแล้วเกิดข้อสงสัย

ว่าขายแล้วขาดทุน จะขายทำไม

ผมขอยืมคำพูดของพิมรี่พายประโยคนึง

“แล้วทำไมกูต้องขายของให้ได้กำไร?”

.

ดังนั้น อย่าดูแต่ด้านของการขาดทุน

เพราะตอนนี้

เจนนี่คือเครื่องมือ

ที่สร้างแรงกระเพื่อมได้รุนแรงมาก

ในตลาด TikTok เมืองไทย

.

ผมเชื่อว่าเจ้าของแบรนด์หลายคน

น่าจะคิดถึงตัวเลขนี้มาแล้วกันทั้งนั้น

ในมุมผู้บริโภค

คงคิดว่าเจ้าของแบรนด์กำลังขายสินค้าอยู่

.

แต่จริงๆ แล้ว

เจ้าของแบรนด์กำลังจ่ายเงิน

เพื่อซื้ออะไรบางอย่างอยู่ต่างหาก

แล้วเค้ากำลังซื้ออะไรล่ะ?

.

.

.

1.พวกเขากำลังซื้อ “Attention” ไม่ใช่ “Profit”

ในยุค TikTok Live มองว่า

Attention = Currency

เมื่อเจนนี่ขึ้นจอ

ยอดวิวพุ่งทันทีหลักแสนในไม่กี่นาที

แบรนด์เล็กที่แทบไม่มีใครรู้จักมาก่อน

จะถูกพูดถึงข้ามคืน

.

จากแบรนด์นิรนาม > กลายเป็นชื่อที่ถูก Search

จากสินค้าธรรมดา > กลายเป็น “ของเจนนี่ขาย”

จาก 0 Trust > กลายเป็น Social Proof

.

แม้ยอดขายจริงจะติดลบ

แต่แบรนด์ได้ Exposure

ที่ต้องจ่ายโฆษณาหลักแสน

ถึงจะเทียบได้

.

เจนนี่จึงไม่ใช่แค่ Presenter ทั่วไป

แต่คือ เครื่องเร่งการรับรู้ในระดับชาติ

.

.

.

2.พวกเขาซื้อ “Trust Borrowing” (ยืมความน่าเชื่อถือ)

กลุ่มลูกค้า TikTok ส่วนใหญ่

“ไม่เชื่อแบรนด์ แต่เชื่อคนขาย”

เจนนี่เป็นBrand Personal

ที่มี emotional connection สูงมากกับแฟนคลับ

มีทั้งความเป็นคนบ้าน ๆ จริงใจ

และมีพลังขายแบบ entertainer

.

เจ้าของแบรนด์ไม่ได้ต้องการเจนนี่

เพื่อขาย 1,000 ชิ้น

แต่ต้องการ เจนนี่ endorse

ให้คนเชื่อว่า

ของเราขายได้จริง

คนแห่มาซื้อจริง

.

ถ้าเจนนี่ขายของนี้ = ของต้องดีแน่

ถ้ามีคนซื้อ 1,000 ออเดอร์ใน 5 นาที = ของนี้กำลังดัง

Trust แบบนี้

ซื้อโฆษณาทางไหนก็ไม่ได้

.

.

.

3.พวกเขาซื้อ “Momentum” เพื่อปั่นแบรนด์ให้ติดตลาด

หลายแบรนด์รู้ว่าขาดทุนใน Live แรก

แต่คาดหวังว่ายอดขายหลัง Live จะโตต่อ

กลยุทธ์นี้เรียกว่า “Loss Leader Strategy”

ขาดทุนในสินค้าชิ้นหนึ่ง

เพื่อเปิดประตูให้สินค้าทั้งร้านขายได้

.

ยกตัวอย่าง:

ขายครีม 299 ขาดทุน

แต่หลัง Live ลูกค้ากลับมาซื้อ

เซรั่ม / กันแดด / ชุดเซ็ต

หรือมี repeat order รอบถัดไป

ในราคาปกติ

.

ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคใน TikTok

ถ้าเคยเห็นสินค้านี้ใน Live ใหญ่ > จะจำชื่อแบรนด์ได้ในรอบต่อไป

.

.

.

4.พวกเขาซื้อ “Algorithm Advantage”

อย่าลืมว่า TikTok

เป็นPlatformที่รางวัล “ยอด Engagement”

การจ้างเจนนี่ = Boost ขนาดใหญ่

ให้ระบบเห็นแบรนด์คุณเป็น “Hot Product”

.

หลัง Live เจนนี่จบ

วิดีโอแบรนด์คุณถูกแนะนำมากขึ้น

ระบบเรียนรู้ว่า “สินค้านี้มี demand”

.

ค่าโฆษณา CPM (cost per impression)

ของแบรนด์คุณถูกลง

เรียกได้ว่า “ขาดทุนเพื่อให้ระบบจำชื่อเรา”

เป็นดีลที่คุ้ม

ถ้าคุณเข้าใจ algorithm

.

.

.

5.พวกเขาซื้อ “Data” เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมจริงของตลาด

แบรนด์ที่ฉลาดใช้ Live แบบนี้

เพื่อ “ทดสอบตลาด”

เช่น

ช่วงราคาไหนลูกค้าซื้อจริง

คำพูดแบบไหนที่กระตุ้นยอด

พฤติกรรมลูกค้าที่สั่งแล้วไม่จ่าย

(กลุ่มไหน, ช่วงเวลาไหน)

ข้อมูลนี้ใช้ปรับกลยุทธ์การขายได้ทั้งปี

และคุ้มค่ากว่าการขาดทุนใน 1 Live

.

.

.

6.พวกเขาซื้อ “Positioning” ในสนามที่คนอื่นไม่กล้าลง

ตลาด TikTok ตอนนี้

เหมือนสนามรบ

ที่มีแค่คนกล้าเผาเงิน

ถึงจะอยู่รอด

.

การที่แบรนด์ประกาศว่า

“เราได้เจนนี่ขายให้”

เท่ากับเป็นสัญญาณว่าแบรนด์นี้

มีทุน มีเกม และมี guts

.

ทำให้ภาพจำของลูกค้า

ของนี้ไม่ใช่แบรนด์บ้าน ๆ แล้วนะ

มันคือการยกสถานะจาก “SME ธรรมดา”

เป็น “แบรนด์ตลาด Mass ” ในเวลาไม่กี่นาที

.

ดังนั้น

เจ้าของแบรนด์รู้ว่า

การจ้างเจนนี่ Live สดให้ = ขาดทุน

แต่เขายอม “ขาดทุนแบบมีเป้าหมาย”

เพื่อซื้อสิ่งที่โฆษณาแบบเดิมให้ไม่ได้

.

ร่วมพูดคุยกันได้ที่

https://www.facebook.com/Ex.MatchingProperty/posts/pfbid029N1nmnbC2YhLdSoYEumUavjmY7x48MrkcDK3RSdzfVvbFvpGGGV1izKWdEV4JLrql

บทความที่เกี่ยวข้อง (3)