WeChat ID :
ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
อสังหาริมทรัพย์ถือเป็น Asset ตัวนึง
ที่มีสภาพคล่องที่ต่ำ
.
การที่เราเริ่มแบกรับภาระงวดบ้านไม่ไหว
จะปล่อยขายเอง
ยังไงก็ขายไม่ออก
แต่ถ้าขายถูก
ก็ไม่ cover ภาระหนี้ที่มีอยู่
ขายแพงก็ไม่มีคนซื้อ
.
จึงมีคำถามมาว่า
อยากคืนบ้านเหมือนคืนรถจะได้มั้ย
มีช่องทางไหนที่ทำให้ลูกหนี้เจ็บตัวหน่อยสุด
ก็ต้องบอกว่า “มีครับ”
.
ก่อนจะคืนบ้านจริง ๆ
ควรลองเจรจาหรือหาทางออกอื่น ๆ
เพราะการคืนบ้าน
อาจกระทบเครดิตบูโร
และอนาคตทางการเงิน
.
1.รีไฟแนนซ์ / รีเทนชัน (Retention)
ย้ายไปธนาคารใหม่หรือเจรจาธนาคารเดิมเพื่อขอลดดอกเบี้ย
.
2.พักชำระหนี้ / ปรับโครงสร้างหนี้
ธนาคารอาจให้เลื่อนงวด ปรับลดค่างวด หรือขยายเวลาผ่อน
.
แต่ถ้าวิธีที่พูดมา
ยังไม่ตอบโจทย์
เพราะอยากคืนบ้าน
ไม่อยากมีภาระแล้ว
คือทางออกครับ
.
การตีโอนชำระหนี้ หรือเรียกสั้นๆว่า ตีโอน
ภาษาอังกฤษมักใช้คำว่า Dation in Payment
หรือ Datio in Solutum
เป็นแนวทางทางกฎหมายและการเงิน
ที่คนผ่อนบ้าน/คอนโดเจอกันบ่อย
โดยเฉพาะเวลาผ่อนไม่ไหว
และต้องหาทางปิดภาระหนี้กับธนาคาร
.
การตีโอนชำระหนี้
คือการที่ลูกหนี้
นำทรัพย์สินที่จำนองไว้
เช่น บ้าน คอนโด ที่ดิน
โอนกรรมสิทธิ์ให้เจ้าหนี้ เช่น ธนาคาร
เพื่อใช้ในการชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน
แทนการจ่ายเงินสด
พูดง่าย ๆ คือ #เอาบ้านไปแลกกับการปิดหนี้
.
ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 ระบุว่า
"ถ้าลูกหนี้ยินยอมส่งมอบทรัพย์สินอย่างอื่น
แทนการชำระหนี้
เจ้าหนี้จะต้องยินยอมด้วยหนี้จึงจะระงับ"
.
ดังนั้น การตีโอนชำระหนี้
ต้องอาศัย ความยินยอมทั้งสองฝ่าย (ลูกหนี้ + เจ้าหนี้)
ไม่ใช่ว่าลูกหนี้จะโอนเองฝ่ายเดียวแล้วหนี้หายทันที
.
ซึ่งมูลค่าของการตีโอนฯ
คือแบงค์จะมาประเมินบ้านของเรา
ว่าราคาตลาดตอนนี้อยู่ที่เท่าไหร่
และแบงค์จะตีโอนอยู่ที่
.
ถ้าตีโอนมีมูลค่า”มากกว่า”หนี้
#แบงค์จะไม่คืนส่วนต่างให้กับลูกหนี้
.
เพราะ ฐานกฎหมาย (ป.พ.พ. มาตรา 340) กำหนดว่า
เป็นการ “ยินยอมให้เอาทรัพย์ชำระหนี้แทนเงิน”
ไม่ใช่การซื้อขาย
ธนาคารไม่ถือว่าตนเป็น “ผู้ซื้อบ้าน”
จึงไม่มีภาระต้องจ่ายเงินทอนให้ลูกหนี้
.
ถ้าตีโอนมีมูลค่า”น้อยกว่า”หนี้
.
แบงค์จะเรียกเรามาพูดคุย
เกี่ยวกับส่วนต่างที่เหลือ
ว่าเราจะมีการจัดการตรงนี้ยังไง
จะผ่อนรวดเดียว / ทยอยผ่อน / ระบุจำนวนงวด
หรืออะไรก็แล้วแต่
ตามแต่กำลังที่เราไหว
.
ซึ่งส่วนต่างที่เหลือตรงนี้
ถือเป็นหนี้เงินกู้
ของลูกหนี้ต่อธนาคาร
จึงมีดอกเบี้ยด้วย
.
ธนาคารมีสิทธิ์คิดดอกเบี้ยตามอัตราในสัญญาเดิม
ดอกเบี้ย MMR/MLR/MOR+Spread
(ปกติเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7%ต่อปี)
ตามที่ระบุไว้ในสัญญาสินเชื่อเดิม
.
ซึ่งขั้นตอนนี้
ลูกหนี้สามารถเจรจากับแบงค์ได้
อาจตกลงเป็น
1.ขอ hair cut ทั้งจำนวน
2.ขอผ่อน อีก 5-10 ปี
3.จ่ายบางส่วน hair cut บางส่วน
ทั้งหมดนี้เราเรียกว่า“ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่”
.
หนี้ส่วนต่างนี้จะเดินดอกเบี้ยต่อเหมือนปกติ
และถ้าไม่จ่าย
ธนาคารสามารถฟ้องร้องและบังคับคดีต่อไปได้
ซึ่งถ้ามีหนี้ส่วนต่างหนี้เกิน 1 ล้าน
แบงค์ก็สามารถฟ้องล้มละลายต่อได้
.
ธนาคารบางแห่งอาจยอม “ตัดหนี้สูญ”
หรือยกเว้นดอกเบี้ย
เพื่อให้ลูกหนี้จ่ายแต่เงินต้นที่เหลือ
.
ยกตัวอย่างที่ 1
หนี้บ้านคงเหลือ 3 ล้าน
บ้านราคาประเมิน 4 ล้าน
เคสนี้คือ
โอนแล้วหนี้จบ แต่ไม่ได้ 1 ล้านที่เกินมา
.
ตัวอย่างที่ 2
หนี้คงเหลือ 3 ล้าน
บ้านราคาประเมิน 2.2 ล้าน
ธนาคารหัก 2.2 ล้านเป็นการใช้หนี้
เหลือหนี้อีก 8 แสน
ที่ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบต่อ
พร้อมดอกเบี้ย 6-7% ต่อปี
.
หนี้ทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต,บัตรกดเงินสด,สินเชื่อส่วนบุคคล
หนี้แบบมีหลักทรัพยค้ำ, ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ
หรือหนี้อื่นๆ
ถ้าเป็นหนี้ที่อยู่ในระบบ (สถาบันการเงินเป็นเจ้าหนี้)
ทุกอย่างสามารถเจรจาได้
.
ถ้าลูกหนี้มีเจตนาที่อยากลดภาระจริง
แนะนำให้ลูกหนี้ไปเจรจากับเจ้าหนี้ตรงๆ
การเงียบ,หนี,นิ่งเฉย
อาจเป็นการสร้างผูกปมให้แน่นขึ้น
จนตัวเองไม่สามารถต่อรองอะไรได้อีก
.
บทความหน้าเดี๋ยวมาสรุปขั้นตอนทั้งหมด
เมื่อเราตัดสินใจแล้วว่า
เราเลือกที่จะ”ตีโอน”บ้าน
เพื่อปลดภาระกับทางเจ้าหนี้
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่