WeChat ID :
นิทานอสังหา EP.11
บ้านที่ห้ามคุยกัน
.
.
.
เย็นวันหนึ่งในวันที่ฝนตกพรำๆ
Feed Facebook ของกลุ่มนายหน้าคึกคักกว่าปกติ
เพราะมีข้อความหนึ่งเกี่ยวกับการขายบ้านโพสต์ขึ้นมา
.
“หานายหน้าช่วยเปิดบ้าน
ถ้าลูกค้าซื้อ ยินดีให้ค่าคอมมิชชั่น 10%
เจ้าของหาลูกค้าให้เอง
เอเจ้นท์มีหน้าที่เปิดบ้าน
แต่มีข้อแม้…
ระหว่างอยู่ในบ้าน
ห้ามคุยกับลูกค้าเด็ดขาด
ใครสนใจคอมเม้นท์ไว้
แล้วจะทัก inbox ไป”
.
แค่ไม่กี่บรรทัด แต่มันสะดุดตา
ราวกับตัวหนังสือมีแรงดึงดูดในตัวเอง
.
บัญชีที่โพสต์เป็น lock profile
รูป profile เป็นการ์ตูนหน้ากลมธรรมดา ๆ
ไม่มีข้อมูลส่วนตัว ไม่มีเพื่อน
ไม่เคยโพสต์อะไรเลย
ถ้ากดเลื่อนย้อนดูก็ว่างเปล่าเหมือนสร้างมาใหม่สด ๆ
.
บางคนคอมเมนต์ว่า “scammer แน่ๆ”
บางคนแซวว่า “ไม่ให้คุยกับลูกค้า แล้วจะขายยังไง”
แต่ก็มีหลายคนกดเซฟโพสต์ไว้
เพราะค่าคอม 10% ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
โดยเฉพาะในยุคที่ต้องซื้อโฆษณาเป็นหมื่น ๆ
กว่าจะปิดดีลได้สักห้อง
.
คนที่ได้รับข้อความ
ไม่ได้รับข้อมูลบ้านจากเจ้าของบ้านเลย
ได้ข้อความตอบกลับสั้น ๆ เพียงว่า
“บ้านไม่ได้ล็อก เข้าไปได้เลย”
.
เอเจ้นท์ต่างต้องการขอคอนแทค
เพื่อประสานงานกับเจ้าของ
แต่เจ้าของกลับไม่ให้เบอร์ ไม่มีไลน์
ไม่มีแม้แต่ให้ชื่อเจ้าของ
แค่พิกัดที่ส่งมา
กับความเงียบที่เหลือเอาไว้
.
บ่ายวันเสาร์
“ต้น” เอเจ้นท์หนุ่มที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการได้ไม่กี่ปี
ตัดสินใจลองนัดกับโพสต์นี้
เขาเป็นคนแรก ๆ ที่ยอมขับรถไปตามพิกัดที่ได้รับมา
.
บ้านตั้งอยู่ในซอยกว้าง ทำเลดี
แต่กลับเงียบผิดปกติ
รอบ ๆ ยังมีคนอยู่อาศัย
แต่กลับไร้เสียงผู้คนหรือเสียงหมาเห่า
.
รั้วบ้านเปิดแง้มไว้จริงอย่างที่เจ้าของบอก
พอเปิดทีบานพับดังยาวเหมือนคนถอนหายใจ
.
บ้านเป็นบ้านไม้สักเก่า 2 ชั้น
ถึงแม้ว่าจะมีอายุมากแล้ว
แต่สภาพยังถือว่าดี
.
รอบๆบ้านมีต้นไทรขนาดใหญ่ 3 คนโอบ
อยู่ทั้ง 4 มุมรอบบ้าน
ด้วยความที่ต้นไทรที่มีขนาดใหญ่โต
กิ่งก้านของต้นไทรที่แพร่ขยายกว้าง
ปกคลุมตัวบ้านจนไม่มีแสงลอดไปถึงหลังคา
.
ทันทีที่ก้าวเข้าไป
ต้นรู้สึกได้ถึงความเย็นในโถง
ทั้งที่แดดข้างนอกแรงจัด
ผนังเต็มไปด้วยรูปครอบครัวเก่า ๆ
แต่ที่สะดุดตาคือรูปถ่ายทุกใบ ไม่มีรอยยิ้ม เลยสักใบ
ทุกหน้าตรง แข็งทื่อ
เหมือนกำลังเฝ้าดูคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน
.
เขาเปิดไฟ
ทุกอย่างทำงานปกติ
แต่แสงไม่เคยสว่างเต็มห้อง
มักจะมีจุดมุมมืดเหมือนยังมีอะไรซ่อนอยู่
.
ไม่นานนัก
รถคันหนึ่งก็มาจอดหน้าบ้าน
ลูกค้า 2 คนลงมาจากรถ
.
ลูกค้าเดินเข้ามาในบ้านเงียบ ๆ
ไม่พูดไม่ทัก มีเพียงพยักหน้าให้ต้น
แล้วก้าวผ่านเข้าไปดูต่างห้องต่างๆ
เหมือนคนคุ้นเคยกับบ้านนี้อยู่ก่อนแล้ว
.
ระหว่างที่พวกเขาเดินดู
เสียงกระซิบเบา ๆ ดังขึ้นตรงข้างหูต้น
เหมือนใครยืนชิดไหล่แล้วพูดว่า
“ช่วยขายให้ที…”
.
เขาสะดุ้ง หันไปข้าง ๆ
แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
ลูกค้าก็ยังเดินต่อเหมือนไม่ได้ยินอะไร
.
.
.
หลังจากที่มีเอเจ้นท์หลายคน
ผลัดเปลี่ยนกันไปเปิดบ้าน
แต่ไม่มีใครปิดการขายได้สักราย
ความสงสัยแปลก ๆ
เริ่มก่อตัวขึ้นในกลุ่ม facebook
นายหน้าหลายคนเริ่มเมิน ไม่พูดถึง
แต่บางคนกลับอดสงสัยไม่ได้
.
กระทั่งมีโพสต์หนึ่งโผล่ขึ้นมาในกลุ่มกลางดึก
“ใครเคยไปบ้านหลังนี้บ้างครับ? มีใครปิดได้แล้วหรือยัง?”
เพียงไม่กี่นาที คอมเมนต์ก็หลั่งเข้ามาเรื่อย ๆ
.
Somchai Agent : “ผมไปมาแล้ว บ้านมันเก่าเกิน ลูกค้าก็เงียบ ไม่ถามอะไรเลย”
Bow Realtor : “ลูกค้าดูเหมือนไม่จริงจังเลย”
Noon Property : “ผมงงนะ ถ้าห้ามคุยกับลูกค้า แล้วเราจะปิดการขายยังไง?”
Juneza : “ลูกค้าที่ไปกับเรา เหมือนเขากำลังคุยกับใครในกระจกค่ะ แต่เรามองไม่เห็น…”
Wichai Broker : “เท่าที่ผมอ่านมาทั้งหมด เหมือนให้นายหน้าไปเสียเวลามากกว่า”
.
ตอนแรกเหมือนทุกอย่างยังเป็นการบ่นธรรมดา
แต่ไม่นานนัก
คอมเม้นท์ของเอเจ้นท์ก็เริ่มไปในทิศทางเดียวกัน
.
คอมเมนต์เหล่านี้ทำให้บรรยากาศในกลุ่มเปลี่ยนไป
จากการตั้งคำถามเรื่องการขาย
กลายเป็นวงสนทนาที่แฝงด้วยความหลอน
.
และโพสต์นั้น…
กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกคนยอมรับตรงกัน
โดยไม่ต้องเอ่ยออกมาเสียงดังว่า
“เคสนี้ไม่ปกติ”
.
.
.
"หนุ่ย" Agent บริษัทชื่อดังเจ้านึงในตลาด
ชื่อที่ใคร ๆ ในวงการนายหน้าก็รู้จัก
เขาคือคนที่ติดอันดับยอดขาย Top 3 แทบทุกเดือน
การพูด การเจรจา และสายตาของเขา
สามารถเปลี่ยนคนที่ลังเลให้กลายเป็นผู้ซื้อได้ไม่ยาก
.
เขาเองก็เห็นโพสต์ลึกลับนั้นมานาน
แต่ไม่รีบร้อนเหมือนเอเจ้นท์หน้าใหม่
เพราะในใจลึก ๆ เขารู้ว่างานแบบนี้
ถ้าจวนตัวจริงๆ…
สุดท้ายเจ้าของก็ต้องหาเอเจ้นท์เก่งจริง ๆ มาปิดอยู่ดี
.
และวันนั้นก็มาถึง
ข้อความสั้น ๆ ส่งเข้ามาในแชทของเขา
“ลูกค้าจะไปดูบ้าน พรุ่งนี้ บ่าย 3 บ้านไม่ได้ล็อก”
.
ไม่มีเบอร์ ไม่มีชื่อ ไม่มีรายละเอียด
เหมือนเดิมทุกอย่าง
.
หนุ่ยตั้งใจไปด้วยความมั่นใจ
เพราะเขาคิดว่า
“ต่อให้ห้ามคุย…ฉันก็หาวิธีปิดดีลจนได้”
.
วันรุ่งขึ้นเขาไปถึงตรงเวลา
บ้านหลังนั้นยืนเงียบอยู่ภายใต้เงาไทรใหญ่
รากอากาศห้อยระโยงระยาง
บดบังแสงแดดจนแทบไม่ส่องถึง
กลิ่นอับชื้นปะทะจมูกทันที
ที่เขาผลักประตูเข้าไป
.
บรรยากาศข้างในที่เงียบกริบ
นาฬิกาที่ตายสนิท
ผนังเต็มไปด้วยรูปถ่ายครอบครัวเก่า ๆ สีซีดหม่น
แต่สายตาทุกคู่ในกรอบเหมือนมองตรงมา
.
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นหน้าบ้าน
รถเก๋งคันหนึ่งจอด
ลูกค้าคู่สามีภรรยา 2 คนลงมาจากรถ
เดินตรงเข้าบ้านโดยไม่พูดอะไร
ยกมือไหว้หนุ่ยเบา ๆ
และยังคงทำตามกฎที่ได้รับ
“ห้ามพูดกับลูกค้าเด็ดขาด”
.
พวกเขาเดินชมรอบ ๆ ห้องแบบเงียบกริบ
ราวกับเข้าใจบ้านนี้ดีกว่าเขาเสียอีก
จนถึงบันไดไม้ตรงกลางโถง
คู่สามีภรรยาหญิงก้าวขึ้นไป 2 ขั้นแล้วหยุด
มองขึ้นไปข้างบนเหมือนกำลังคิดอะไร
.
หนุ่ยที่เดินตามหลังอยู่
มองเห็นท่าทางลูกค้าแล้ว
รู้สึกสัญชาตญาณนักขายทำงานทำงาน
นี่คือจังหวะที่ควรถาม
เขาหลุดปากไปโดยไม่ทันได้ยั้งคิด
“สอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ”
.
ทันทีที่สิ้นเสียง
บันไดส่งเสียง "กึก!"
ลูกค้าหยุดนิ่ง
หัวของคู่สามีภรรยาค่อยๆหันมาหาหนุ่ย
แต่เป็นการหันแบบลำตัวยังคงหันไปทางบันได
การหันมาของทั้งคู่
เหมือนกับคนไม่มีกระดูกคอ
ดวงตาที่หันกลับมานั้นถมึงทึงจ้องหนุ่ยเขม็ง
.
ในวินาทีนั้น…
นาฬิกาที่ตายสนิทกลับส่งเสียงดังสนั่น
เสียงก้องกังวานทั้งบ้าน
รูปถ่ายทุกกรอบบนผนังบ้าน
หันมามองหนุ่ยพร้อมกัน
.
หนุ่ยเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
จึงถอยหลังด้วยความตกใจ
แต่เท้าของเขาสะดุดเข้ากับร่องไม้ที่แตกจนเป็นรู
เขาล้มลงกับพื้น
มือแทบจะสอดเข้าไปในช่องนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
กลิ่นอับชื้นปนกลิ่นธูปเก่า
ทะลักขึ้นมาจากช่องนั้นทันที
.
หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบแตกซ่าน
แต่สายตาก็เผลอเหลือบมองลงไปในช่องมืดนั้น
และสิ่งที่เห็น
แทบจะหยุดลมหายใจของหนุ่ย
.
ใต้พื้นบ้าน ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่เสาเข็ม
แต่เป็น ศาลพระภูมิเล็ก ๆ
ลักษณะเป็นซากปรักหักพังและเก่าแก่
เรียงรายนับไม่ถ้วน
.
ทั้งหมดถูกวางเรียงแน่นจนเหมือนสุสานใต้ดิน
เสียงกรุ๊งกริ๊งเบา ๆ
เหมือนของกระทบกัน
ราวกับมีใครขยับอยู่ด้านล่าง
.
หนุ่ยชักมือกลับแทบไม่ทัน
และเงยหน้าขึ้นมา
คู่สามีภรรยายังคงยืนอยู่ตรงบันได
สายตาแข็งตึงเหมือนจะกลืนเขาทั้งตัว
.
เขาพยายามจะลุกขึ้น
แต่รู้สึกเหมือนพื้นบ้านทั้งหลังสั่นสะเทือนเล็ก ๆ
คล้ายกับใครหลาย 10 คน
กำลังเขย่าบ้านพร้อมกันอยู่ใต้พื้น
.
หนุ่ยร้องออกมาโดยไม่อายใครอีกแล้ว
แต่เสียงนั้นกลับถูกกลบด้วยเสียงนาฬิกาที่ดังอย่างต่อเนื่อง
หนุ่ยวิ่งพุ่งไปที่ประตูหน้าบ้านสุดแรง
แต่ทันทีที่ถึงมือจับประตู
มันปิดดัง โครม!
เหมือนใครกระแทกจากด้านนอก
เขาถอยกรูล้มลงมาอยู่กลางโถงบ้าน
.
เขาหันกลับมา
ลูกค้าทั้ง 2 คนหายไป
และบรรยากาศรอบ ๆ เปลี่ยนไป
หนุ่ยเริ่มได้ยินเสียงพึมพำ
เหมือนคนคุยกันในบ้านจำนวนมาก
.
เสียงหัวใจของหนุ่ย
ดังประสานกับเสียงพึมพำในบ้าน
ที่ก้องสะท้อนอยู่ทุกมุม
.
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากบันได
เสียงที่ไม่สูงไม่ต่ำ แต่ชัดเจนในทุกถ้อยคำ
“มาอยู่ด้วยกัน”
.
ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง
พื้นไม้ตรงโถงกลางแตกออกเป็นรอยยาว
เสียงกรอบแกรบเหมือนกระดูกหักดังขึ้นพร้อมกันทั่วบ้าน
กลิ่นธูปเก่าแรงขึ้นจนน้ำตาไหล
หนุ่ยกรีดร้องสุดเสียง
แต่เสียงนั้นเหมือนถูกดูดหายไปในมวลอากาศ
.
เขาพยายามหนีออกไปทางหน้าต่าง
แต่แทนที่จะเจอแสงแดดจากภายนอก
กลับเป็นกำแพงต้นไทร
ที่รากห้อยลงมาปกคลุมแน่นเหมือนกรง
เหลือเพียงช่องว่างเล็ก ๆ
ให้แสงลอดเข้ามาเพียงนิดเดียว
.
เขากลับหลังหันมาอีกครั้ง
เห็นคู่สามีภรรยายืนนิ่งอยู่ในมุมมืดใต้บันได
แต่ตอนนี้...
หัวของพวกเขาบิดหันกลับมาที่หนุ่ย
โดยที่ร่างยังคงหันไปข้างหน้า
ด้วยดวงตาเบิกกว้างจนขาวโพลน
.
หนุ่ยก้าวถอยหลังจนส้นเท้าเหยียบตรงร่องไม้ที่แตก
เขาทรุดลงไปในร่องครึ่งตัว
แขนขยับตะเกียกตะกาย
แต่เหมือนมีบางสิ่งที่อยู่ข้างใต้
กำลังดึงลงไป
.
เขามองเห็นเงามืดนับสิบยื่นมือขึ้นมา
มือเล็กบ้างใหญ่บ้าง
หยาบกร้านบ้าง
บีบขาของเขาแน่น
.
เสียงกระซิบดังขึ้นรอบตัว
คราวนี้ไม่ใช่เพียงประโยคเดียว
แต่เป็นเสียงนับร้อยซ้อนทับกัน
“อยู่กับเรา…อยู่กับเรา…อยู่กับเรา…”
.
วินาทีถัดมา
ร่างของหนุ่ยถูกดึงหายลงไปในความมืดใต้พื้น
เหลือเพียงเสียงประตูบ้าน
ที่ค่อยๆปิดลงเบาๆ
ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบ
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหลือเพียงเงาไทรใหญ่ที่ปกคลุมบ้านทั้งหลัง
เหมือนซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้
.
หลังจากวันนั้น…
ไม่มีใครพบเจอหนุ่ยอีกเลย
.
เวลาผ่านไป…1 สัปดาห์…2 สัปดาห์
ไม่มีใครเห็นหนุ่ยอีกเลย
ทั้งในกลุ่มนายหน้า
ทั้งในการทำงาน
ที่เขามักจะ update ชีวิตทุกวัน
แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่โพสต์ส่วนตัว
ใน social ของเขา
.
จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง
โพสต์ใหม่ปรากฏขึ้นในกลุ่ม facebook เดิม
ชื่อบัญชีที่ lock profile เหมือนเคย
คราวนี้รูป profile เปลี่ยนเป็นภาพสีดำทึบ
ไม่มีใบหน้า
ไม่มีรายละเอียดอะไรทั้งสิ้น
ได้โพสข้อความที่ปรากฏสั้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“บ้านขายได้แล้ว ขอบคุณเอเจ้นท์ทุกคนมากๆ”
.
มีแต่คนกด like
แต่ไม่มีใครกล้า comment
ทุกคนที่เห็นโพสต์นั้น…ต่างเงียบงัน
เพราะรู้ว่าเจ้าของ profile นี้
คงไม่ตอบอะไรกลับมา
.
ไม่มีการอัปเดตผู้ซื้อ
ไม่มีรายละเอียดการโอน
ทุกอย่างจบลงเพียงแค่นั้น
.
แต่ไม่กี่วันต่อมา
มีเอเจ้นท์คนหนึ่งเล่าในกลุ่มเล็ก ๆ ว่า
เขาขับรถผ่านซอยนั้นตอนดึก
เงาไทรใหญ่ยังปกคลุมบ้านเหมือนเดิม
ไม่มีการรีโนเวทใหม่
แต่เห็นไฟของห้องชั้นบนที่ไม่ได้เปิดมานาน…
กลับเห็นไฟดวงหนึ่งสว่างขึ้น
.
และตรงหน้ากระจกบานใหญ่
เขาเห็นผู้ชายผมสั้นในชุดสูททำงานยืนอยู่
ใบหน้าซีดขาว ยิ้มบาง ๆ
ที่มองมาทางหน้าบ้าน
.
เขาสาบานด้วยชีวิตว่า…
นั่นคือ หนุ่ย
เอเจ้นท์ดาวรุ่งที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากคืนนั้น
ก็ไม่มีใครพบเจอชายหนุ่มในบ้านนั้นอีกเลย
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่