นิทานอสังหา EP.11 – บ้านที่ห้ามคุยกัน

เรื่องสยองในวงการนายหน้า กับบ้านต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าพูดถึง

post date  โพสต์เมื่อ 19 พ.ย. 2568   view 30359
article

นิทานอสังหา EP.11

บ้านที่ห้ามคุยกัน

.

.

.

เย็นวันหนึ่งในวันที่ฝนตกพรำๆ

Feed Facebook ของกลุ่มนายหน้าคึกคักกว่าปกติ

เพราะมีข้อความหนึ่งเกี่ยวกับการขายบ้านโพสต์ขึ้นมา

.

“หานายหน้าช่วยเปิดบ้าน

ถ้าลูกค้าซื้อ ยินดีให้ค่าคอมมิชชั่น 10%

เจ้าของหาลูกค้าให้เอง

เอเจ้นท์มีหน้าที่เปิดบ้าน

แต่มีข้อแม้…

ระหว่างอยู่ในบ้าน

ห้ามคุยกับลูกค้าเด็ดขาด

ใครสนใจคอมเม้นท์ไว้

แล้วจะทัก inbox ไป”

.

แค่ไม่กี่บรรทัด แต่มันสะดุดตา

ราวกับตัวหนังสือมีแรงดึงดูดในตัวเอง

.

บัญชีที่โพสต์เป็น lock profile

รูป profile เป็นการ์ตูนหน้ากลมธรรมดา ๆ

ไม่มีข้อมูลส่วนตัว ไม่มีเพื่อน

ไม่เคยโพสต์อะไรเลย

ถ้ากดเลื่อนย้อนดูก็ว่างเปล่าเหมือนสร้างมาใหม่สด ๆ

.

บางคนคอมเมนต์ว่า “scammer แน่ๆ”

บางคนแซวว่า “ไม่ให้คุยกับลูกค้า แล้วจะขายยังไง”

แต่ก็มีหลายคนกดเซฟโพสต์ไว้

เพราะค่าคอม 10% ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ

โดยเฉพาะในยุคที่ต้องซื้อโฆษณาเป็นหมื่น ๆ

กว่าจะปิดดีลได้สักห้อง

.

คนที่ได้รับข้อความ

ไม่ได้รับข้อมูลบ้านจากเจ้าของบ้านเลย

ได้ข้อความตอบกลับสั้น ๆ เพียงว่า

“บ้านไม่ได้ล็อก เข้าไปได้เลย”

.

เอเจ้นท์ต่างต้องการขอคอนแทค

เพื่อประสานงานกับเจ้าของ

แต่เจ้าของกลับไม่ให้เบอร์ ไม่มีไลน์

ไม่มีแม้แต่ให้ชื่อเจ้าของ

แค่พิกัดที่ส่งมา

กับความเงียบที่เหลือเอาไว้

.

บ่ายวันเสาร์

“ต้น” เอเจ้นท์หนุ่มที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการได้ไม่กี่ปี

ตัดสินใจลองนัดกับโพสต์นี้

เขาเป็นคนแรก ๆ ที่ยอมขับรถไปตามพิกัดที่ได้รับมา

.

บ้านตั้งอยู่ในซอยกว้าง ทำเลดี

แต่กลับเงียบผิดปกติ

รอบ ๆ ยังมีคนอยู่อาศัย

แต่กลับไร้เสียงผู้คนหรือเสียงหมาเห่า

.

รั้วบ้านเปิดแง้มไว้จริงอย่างที่เจ้าของบอก

พอเปิดทีบานพับดังยาวเหมือนคนถอนหายใจ

.

บ้านเป็นบ้านไม้สักเก่า 2 ชั้น

ถึงแม้ว่าจะมีอายุมากแล้ว

แต่สภาพยังถือว่าดี

.

รอบๆบ้านมีต้นไทรขนาดใหญ่ 3 คนโอบ

อยู่ทั้ง 4 มุมรอบบ้าน

ด้วยความที่ต้นไทรที่มีขนาดใหญ่โต

กิ่งก้านของต้นไทรที่แพร่ขยายกว้าง

ปกคลุมตัวบ้านจนไม่มีแสงลอดไปถึงหลังคา

.

ทันทีที่ก้าวเข้าไป

ต้นรู้สึกได้ถึงความเย็นในโถง

ทั้งที่แดดข้างนอกแรงจัด

ผนังเต็มไปด้วยรูปครอบครัวเก่า ๆ

แต่ที่สะดุดตาคือรูปถ่ายทุกใบ ไม่มีรอยยิ้ม เลยสักใบ

ทุกหน้าตรง แข็งทื่อ

เหมือนกำลังเฝ้าดูคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน

.

เขาเปิดไฟ

ทุกอย่างทำงานปกติ

แต่แสงไม่เคยสว่างเต็มห้อง

มักจะมีจุดมุมมืดเหมือนยังมีอะไรซ่อนอยู่

.

ไม่นานนัก

รถคันหนึ่งก็มาจอดหน้าบ้าน

ลูกค้า 2 คนลงมาจากรถ

.

ลูกค้าเดินเข้ามาในบ้านเงียบ ๆ

ไม่พูดไม่ทัก มีเพียงพยักหน้าให้ต้น

แล้วก้าวผ่านเข้าไปดูต่างห้องต่างๆ

เหมือนคนคุ้นเคยกับบ้านนี้อยู่ก่อนแล้ว

.

ระหว่างที่พวกเขาเดินดู

เสียงกระซิบเบา ๆ ดังขึ้นตรงข้างหูต้น

เหมือนใครยืนชิดไหล่แล้วพูดว่า

“ช่วยขายให้ที…”

.

เขาสะดุ้ง หันไปข้าง ๆ

แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

ลูกค้าก็ยังเดินต่อเหมือนไม่ได้ยินอะไร

.

.

.

หลังจากที่มีเอเจ้นท์หลายคน

ผลัดเปลี่ยนกันไปเปิดบ้าน

แต่ไม่มีใครปิดการขายได้สักราย

ความสงสัยแปลก ๆ

เริ่มก่อตัวขึ้นในกลุ่ม facebook

นายหน้าหลายคนเริ่มเมิน ไม่พูดถึง

แต่บางคนกลับอดสงสัยไม่ได้

.

กระทั่งมีโพสต์หนึ่งโผล่ขึ้นมาในกลุ่มกลางดึก

“ใครเคยไปบ้านหลังนี้บ้างครับ? มีใครปิดได้แล้วหรือยัง?”

เพียงไม่กี่นาที คอมเมนต์ก็หลั่งเข้ามาเรื่อย ๆ

.

Somchai Agent : “ผมไปมาแล้ว บ้านมันเก่าเกิน ลูกค้าก็เงียบ ไม่ถามอะไรเลย”

Bow Realtor : “ลูกค้าดูเหมือนไม่จริงจังเลย”

Noon Property : “ผมงงนะ ถ้าห้ามคุยกับลูกค้า แล้วเราจะปิดการขายยังไง?”

Juneza : “ลูกค้าที่ไปกับเรา เหมือนเขากำลังคุยกับใครในกระจกค่ะ แต่เรามองไม่เห็น…”

Wichai Broker : “เท่าที่ผมอ่านมาทั้งหมด เหมือนให้นายหน้าไปเสียเวลามากกว่า”

.

ตอนแรกเหมือนทุกอย่างยังเป็นการบ่นธรรมดา

แต่ไม่นานนัก

คอมเม้นท์ของเอเจ้นท์ก็เริ่มไปในทิศทางเดียวกัน

.

คอมเมนต์เหล่านี้ทำให้บรรยากาศในกลุ่มเปลี่ยนไป

จากการตั้งคำถามเรื่องการขาย

กลายเป็นวงสนทนาที่แฝงด้วยความหลอน

.

และโพสต์นั้น…

กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกคนยอมรับตรงกัน

โดยไม่ต้องเอ่ยออกมาเสียงดังว่า

“เคสนี้ไม่ปกติ”

.

.

.

"หนุ่ย" Agent บริษัทชื่อดังเจ้านึงในตลาด

ชื่อที่ใคร ๆ ในวงการนายหน้าก็รู้จัก

เขาคือคนที่ติดอันดับยอดขาย Top 3 แทบทุกเดือน

การพูด การเจรจา และสายตาของเขา

สามารถเปลี่ยนคนที่ลังเลให้กลายเป็นผู้ซื้อได้ไม่ยาก

.

เขาเองก็เห็นโพสต์ลึกลับนั้นมานาน

แต่ไม่รีบร้อนเหมือนเอเจ้นท์หน้าใหม่

เพราะในใจลึก ๆ เขารู้ว่างานแบบนี้

ถ้าจวนตัวจริงๆ…

สุดท้ายเจ้าของก็ต้องหาเอเจ้นท์เก่งจริง ๆ มาปิดอยู่ดี

.

และวันนั้นก็มาถึง

ข้อความสั้น ๆ ส่งเข้ามาในแชทของเขา

“ลูกค้าจะไปดูบ้าน พรุ่งนี้ บ่าย 3 บ้านไม่ได้ล็อก”

.

ไม่มีเบอร์ ไม่มีชื่อ ไม่มีรายละเอียด

เหมือนเดิมทุกอย่าง

.

หนุ่ยตั้งใจไปด้วยความมั่นใจ

เพราะเขาคิดว่า

“ต่อให้ห้ามคุย…ฉันก็หาวิธีปิดดีลจนได้”

.

วันรุ่งขึ้นเขาไปถึงตรงเวลา

บ้านหลังนั้นยืนเงียบอยู่ภายใต้เงาไทรใหญ่

รากอากาศห้อยระโยงระยาง

บดบังแสงแดดจนแทบไม่ส่องถึง

กลิ่นอับชื้นปะทะจมูกทันที

ที่เขาผลักประตูเข้าไป

.

บรรยากาศข้างในที่เงียบกริบ

นาฬิกาที่ตายสนิท

ผนังเต็มไปด้วยรูปถ่ายครอบครัวเก่า ๆ สีซีดหม่น

แต่สายตาทุกคู่ในกรอบเหมือนมองตรงมา

.

เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นหน้าบ้าน

รถเก๋งคันหนึ่งจอด

ลูกค้าคู่สามีภรรยา 2 คนลงมาจากรถ

เดินตรงเข้าบ้านโดยไม่พูดอะไร

ยกมือไหว้หนุ่ยเบา ๆ

และยังคงทำตามกฎที่ได้รับ

“ห้ามพูดกับลูกค้าเด็ดขาด”

.

พวกเขาเดินชมรอบ ๆ ห้องแบบเงียบกริบ

ราวกับเข้าใจบ้านนี้ดีกว่าเขาเสียอีก

จนถึงบันไดไม้ตรงกลางโถง

คู่สามีภรรยาหญิงก้าวขึ้นไป 2 ขั้นแล้วหยุด

มองขึ้นไปข้างบนเหมือนกำลังคิดอะไร

.

หนุ่ยที่เดินตามหลังอยู่

มองเห็นท่าทางลูกค้าแล้ว

รู้สึกสัญชาตญาณนักขายทำงานทำงาน

นี่คือจังหวะที่ควรถาม

เขาหลุดปากไปโดยไม่ทันได้ยั้งคิด

“สอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ”

.

ทันทีที่สิ้นเสียง

บันไดส่งเสียง "กึก!"

ลูกค้าหยุดนิ่ง

หัวของคู่สามีภรรยาค่อยๆหันมาหาหนุ่ย

แต่เป็นการหันแบบลำตัวยังคงหันไปทางบันได

การหันมาของทั้งคู่

เหมือนกับคนไม่มีกระดูกคอ

ดวงตาที่หันกลับมานั้นถมึงทึงจ้องหนุ่ยเขม็ง

.

ในวินาทีนั้น…

นาฬิกาที่ตายสนิทกลับส่งเสียงดังสนั่น

เสียงก้องกังวานทั้งบ้าน

รูปถ่ายทุกกรอบบนผนังบ้าน

หันมามองหนุ่ยพร้อมกัน

.

หนุ่ยเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

จึงถอยหลังด้วยความตกใจ

แต่เท้าของเขาสะดุดเข้ากับร่องไม้ที่แตกจนเป็นรู

เขาล้มลงกับพื้น

มือแทบจะสอดเข้าไปในช่องนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

กลิ่นอับชื้นปนกลิ่นธูปเก่า

ทะลักขึ้นมาจากช่องนั้นทันที

.

หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบแตกซ่าน

แต่สายตาก็เผลอเหลือบมองลงไปในช่องมืดนั้น

และสิ่งที่เห็น

แทบจะหยุดลมหายใจของหนุ่ย

.

ใต้พื้นบ้าน ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่เสาเข็ม

แต่เป็น ศาลพระภูมิเล็ก ๆ

ลักษณะเป็นซากปรักหักพังและเก่าแก่

เรียงรายนับไม่ถ้วน

.

ทั้งหมดถูกวางเรียงแน่นจนเหมือนสุสานใต้ดิน

เสียงกรุ๊งกริ๊งเบา ๆ

เหมือนของกระทบกัน

ราวกับมีใครขยับอยู่ด้านล่าง

.

หนุ่ยชักมือกลับแทบไม่ทัน

และเงยหน้าขึ้นมา

คู่สามีภรรยายังคงยืนอยู่ตรงบันได

สายตาแข็งตึงเหมือนจะกลืนเขาทั้งตัว

.

เขาพยายามจะลุกขึ้น

แต่รู้สึกเหมือนพื้นบ้านทั้งหลังสั่นสะเทือนเล็ก ๆ

คล้ายกับใครหลาย 10 คน

กำลังเขย่าบ้านพร้อมกันอยู่ใต้พื้น

.

หนุ่ยร้องออกมาโดยไม่อายใครอีกแล้ว

แต่เสียงนั้นกลับถูกกลบด้วยเสียงนาฬิกาที่ดังอย่างต่อเนื่อง

หนุ่ยวิ่งพุ่งไปที่ประตูหน้าบ้านสุดแรง

แต่ทันทีที่ถึงมือจับประตู

มันปิดดัง โครม!

เหมือนใครกระแทกจากด้านนอก

เขาถอยกรูล้มลงมาอยู่กลางโถงบ้าน

.

เขาหันกลับมา

ลูกค้าทั้ง 2 คนหายไป

และบรรยากาศรอบ ๆ เปลี่ยนไป

หนุ่ยเริ่มได้ยินเสียงพึมพำ

เหมือนคนคุยกันในบ้านจำนวนมาก

.

เสียงหัวใจของหนุ่ย

ดังประสานกับเสียงพึมพำในบ้าน

ที่ก้องสะท้อนอยู่ทุกมุม

.

แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากบันได

เสียงที่ไม่สูงไม่ต่ำ แต่ชัดเจนในทุกถ้อยคำ

“มาอยู่ด้วยกัน”

.

ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง

พื้นไม้ตรงโถงกลางแตกออกเป็นรอยยาว

เสียงกรอบแกรบเหมือนกระดูกหักดังขึ้นพร้อมกันทั่วบ้าน

กลิ่นธูปเก่าแรงขึ้นจนน้ำตาไหล

หนุ่ยกรีดร้องสุดเสียง

แต่เสียงนั้นเหมือนถูกดูดหายไปในมวลอากาศ

.

เขาพยายามหนีออกไปทางหน้าต่าง

แต่แทนที่จะเจอแสงแดดจากภายนอก

กลับเป็นกำแพงต้นไทร

ที่รากห้อยลงมาปกคลุมแน่นเหมือนกรง

เหลือเพียงช่องว่างเล็ก ๆ

ให้แสงลอดเข้ามาเพียงนิดเดียว

.

เขากลับหลังหันมาอีกครั้ง

เห็นคู่สามีภรรยายืนนิ่งอยู่ในมุมมืดใต้บันได

แต่ตอนนี้...

หัวของพวกเขาบิดหันกลับมาที่หนุ่ย

โดยที่ร่างยังคงหันไปข้างหน้า

ด้วยดวงตาเบิกกว้างจนขาวโพลน

.

หนุ่ยก้าวถอยหลังจนส้นเท้าเหยียบตรงร่องไม้ที่แตก

เขาทรุดลงไปในร่องครึ่งตัว

แขนขยับตะเกียกตะกาย

แต่เหมือนมีบางสิ่งที่อยู่ข้างใต้

กำลังดึงลงไป

.

เขามองเห็นเงามืดนับสิบยื่นมือขึ้นมา

มือเล็กบ้างใหญ่บ้าง

หยาบกร้านบ้าง

บีบขาของเขาแน่น

.

เสียงกระซิบดังขึ้นรอบตัว

คราวนี้ไม่ใช่เพียงประโยคเดียว

แต่เป็นเสียงนับร้อยซ้อนทับกัน

“อยู่กับเรา…อยู่กับเรา…อยู่กับเรา…”

.

วินาทีถัดมา

ร่างของหนุ่ยถูกดึงหายลงไปในความมืดใต้พื้น

เหลือเพียงเสียงประตูบ้าน

ที่ค่อยๆปิดลงเบาๆ

ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบ

ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหลือเพียงเงาไทรใหญ่ที่ปกคลุมบ้านทั้งหลัง

เหมือนซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้

.

หลังจากวันนั้น…

ไม่มีใครพบเจอหนุ่ยอีกเลย

.

เวลาผ่านไป…1 สัปดาห์…2 สัปดาห์

ไม่มีใครเห็นหนุ่ยอีกเลย

ทั้งในกลุ่มนายหน้า

ทั้งในการทำงาน

ที่เขามักจะ update ชีวิตทุกวัน

แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่โพสต์ส่วนตัว

ใน social ของเขา

.

จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง

โพสต์ใหม่ปรากฏขึ้นในกลุ่ม facebook เดิม

ชื่อบัญชีที่ lock profile เหมือนเคย

คราวนี้รูป profile เปลี่ยนเป็นภาพสีดำทึบ

ไม่มีใบหน้า

ไม่มีรายละเอียดอะไรทั้งสิ้น

ได้โพสข้อความที่ปรากฏสั้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

“บ้านขายได้แล้ว ขอบคุณเอเจ้นท์ทุกคนมากๆ”

.

มีแต่คนกด like

แต่ไม่มีใครกล้า comment

ทุกคนที่เห็นโพสต์นั้น…ต่างเงียบงัน

เพราะรู้ว่าเจ้าของ profile นี้

คงไม่ตอบอะไรกลับมา

.

ไม่มีการอัปเดตผู้ซื้อ

ไม่มีรายละเอียดการโอน

ทุกอย่างจบลงเพียงแค่นั้น

.

แต่ไม่กี่วันต่อมา

มีเอเจ้นท์คนหนึ่งเล่าในกลุ่มเล็ก ๆ ว่า

เขาขับรถผ่านซอยนั้นตอนดึก

เงาไทรใหญ่ยังปกคลุมบ้านเหมือนเดิม

ไม่มีการรีโนเวทใหม่

แต่เห็นไฟของห้องชั้นบนที่ไม่ได้เปิดมานาน…

กลับเห็นไฟดวงหนึ่งสว่างขึ้น

.

และตรงหน้ากระจกบานใหญ่

เขาเห็นผู้ชายผมสั้นในชุดสูททำงานยืนอยู่

ใบหน้าซีดขาว ยิ้มบาง ๆ

ที่มองมาทางหน้าบ้าน

.

เขาสาบานด้วยชีวิตว่า…

นั่นคือ หนุ่ย

เอเจ้นท์ดาวรุ่งที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากคืนนั้น

ก็ไม่มีใครพบเจอชายหนุ่มในบ้านนั้นอีกเลย

.

ร่วมพูดคุยกันได้ที่

https://www.facebook.com/Ex.MatchingProperty/posts/pfbid0rr2Joz4ANZ7Y9YtUECzdasLoM3kVNfaUbYEe46fcwVa8czX9Zjpi5er8eMWxMkTwl

บทความที่เกี่ยวข้อง (3)