WeChat ID :
มี FC ท่านนึง
อยู่ต่างประเทศมานาน
นางโทรมาเม้าท์ให้ฟังว่า
เอเจ้นท์ต่างชาติกับที่ไทย
ไม่เหมือนกันเลย
.
เอเจ้นท์ต่างชาติคือดูดีมีฐานะสุดๆ
ทำงานกันเป๊ะมาก
มีความเป็นมืออาชีพ
และเจ้าของเองก็ respect เอเจ้นท์สุดๆ
.
เรทค่าคอมก็แตกต่างกัน
3 % นี่ไม่มีให้เห็น
มีตั้งแต่ 5% ยัน 10%
.
ใช่ครับถูกต้อง
เอเจ้นท์ต่างประเทศเป็นอาชีพที่มีมาตรฐานสูง
กว่าจะได้เป็นอาชีพนี้ได้
เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็น
.
เรามาดูความแตกต่างระหว่าง
“นายหน้าไทย vs นายหน้าต่างชาติ” กันดีกว่า
ว่ามันแตกต่างกันแค่ไหน
ทำไมมาตรฐานการทำงานของเรากับของเค้า
ถึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
.
.
❶ รูปแบบการเข้ามาในอาชีพ
ไทย: “ใครก็เป็นได้”
นายหน้าไทยจำนวนมาก “เริ่มจากศูนย์”
ไม่ได้ผ่านการอบรมหรือมีใบอนุญาตก่อนเริ่มทำงาน
ไม่ต้องมี license
ก็สามารถวิ่งหาทรัพย์-พาลูกค้าดูได้เลย
บางคนเริ่มจากการช่วยญาติขายบ้าน
บางคนมาเพราะตกงาน
บางคนแค่อยากหารายได้เสริม
❝อาชีพนี้ในไทยยังไม่ได้ถูกควบคุมในระดับรัฐแบบจริงจัง ใครจะทำก็ทำได้❞
.
ต่างประเทศ: “License is a must”
ในประเทศพัฒนาแล้ว
เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย สิงคโปร์
การจะเป็นนายหน้าได้
ต้องสอบผ่านและได้รับใบอนุญาต (Real Estate License)
มีหน่วยงานควบคุมชัดเจน
บางประเทศมีการกำหนดว่า หากไม่มี license
คุณห้ามรับค่านายหน้า
ไม่งั้นจะมีโทษสถานหนัก
.
.
❷ วิธีการหาทรัพย์และลูกค้า
ไทย: “หาทรัพย์ก่อน ค่อยหาคน”
วิ่งหาทรัพย์จากโพสต์ในกลุ่ม
โทร Cold call เจ้าของบ้านจากแผงประกาศ
สร้างโพสต์ใน Facebook Marketplace
หรือโพสต์ขายทรัพย์คนอื่นแบบ “ยืมโพสต์”
เป็นการตลาดแบบเสี่ยงๆ บางทีโพสต์ทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาตก็มี
.
ต่างชาติ: “หาคนก่อน แล้วค่อยหาทรัพย์”
Agent ต่างชาติจะเริ่มจาก การสร้างฐานลูกค้า สนิทกับ buyer มากกว่า
ทำ Buyer Consultation จริงจัง: นั่งคุยเพื่อเข้าใจความต้องการอย่างลึก
เมื่อรู้ว่าลูกค้าอยากได้อะไร จะใช้ MLS (Multiple Listing Service) เพื่อค้นหาทรัพย์ที่ตอบโจทย์ทันที
ไม่ต้องวิ่งหาทรัพย์จาก Facebook หรือโทร Cold Call เพราะมีระบบกลางไว้หมดแล้ว
.
.
❸ การเก็บข้อมูลทรัพย์และการแชร์กันในวงการ
ไทย: “ข้อมูลกระจัดกระจาย ซ้ำซ้อน ซ่อนราคา”
ไม่มีระบบ MLS กลาง
ทรัพย์ 1 ห้อง โผล่ใน 20 โพสต์ ราคาต่างกันหมด
เจ้าของประกาศ 5.5 ล้าน เอเจ้นต์โพสต์ 5.7 อีกคนโพสต์ 5.4
ข้อมูลไม่อัปเดต ทรัพย์ขายไปแล้วก็ยังโพสต์อยู่
.
ต่างชาติ: “โปร่งใสและแม่นยำแบบห้องผ่าตัด”
มีระบบ MLS ที่รวมข้อมูลทุกทรัพย์ที่ listing อยู่ในตลาดแบบ real-time
ข้อมูล standardized: location, history, agent, commission, availability
ความแม่นยำของข้อมูล คืออาวุธในการทำงานและลดความขัดแย้ง
.
.
❹ การทำสัญญา
ไทย: “ขอทำก่อน สัญญาทีหลัง”
นายหน้าไทยจำนวนมากยังทำงานแบบ “ไม่มีสัญญา”
เจอเจ้าของใจดี ให้โพสต์ขายก็โพสต์เลย
สุดท้ายโดนตัดหน้า โดนขายเอง ไม่ได้ค่าอะไรเลย
หรือกรณีลูกค้าใช้เอเจ้นต์อื่นปิดแทน ก็ไม่มีหลักฐานปกป้องตัวเอง
.
ต่างชาติ: “No contract, No service”
ไม่มีใครเริ่มงานโดยไม่มีเอกสาร
ทั้งฝั่ง Buyer และ Seller ต้องเซ็น “Agency Agreement” หรือ “Representation Agreement”
ข้อกำหนดและเงื่อนไขการทำงานถูกวางไว้ตั้งแต่ต้น — ป้องกันปัญหาทุกอย่าง
.
.
❺ ค่าคอมมิชชั่น
ไทย: “ไม่ตายตัว ต่อรองได้”
ขึ้นอยู่กับตกลงเป็นรายเคส — บางครั้งได้ 3%, บางครั้งแค่ 1%, หรือไม่ได้เลย
บางครั้งนายหน้าแบ่งกันหลายทอดจนคนพาลูกค้าได้จริงเหลือไม่กี่พัน
.
ต่างชาติ: “ชัดเจนเป็นระบบ”
ค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ย 5–6% ในอเมริกา และระบบจะมีการแบ่ง Buyer Agent / Seller Agent ชัดเจน
เงินจะผ่าน Title Company หรือ Solicitor แล้วค่อยจ่ายไปยังเอเจ้นต์ ไม่ต้องวุ่นวายเรียกเก็บเอง
.
.
❻ บทบาทและการบริการ
ไทย: “แค่พาดู”
หลายคนมองว่างานเอเจ้นต์ = พาลูกค้าไปดูทรัพย์
หลังดูเสร็จ ปล่อยลูกค้าคิดเอง ติดต่อเอง หรือบางคนไม่รับสายอีกเลย
งาน service ไม่ใช่จุดขาย
.
ต่างชาติ: “ที่ปรึกษา 360 องศา”
เอเจ้นต์ต่างชาติจะทำงานแบบ Real Estate Advisor
ให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การขอสินเชื่อ การจัดจ้าง inspector การเจรจา deal
และดูแลจนจบกระบวนการ transfer
ความต่างอยู่ที่ "ownership" — ไม่ใช่แค่พาดู แต่พาไปถึงเป้าหมาย
.
.
❼ การตลาดและแบรนด์ส่วนตัว:
ไทย: “โพสต์ในกลุ่ม แล้วก็รอลุ้น”
หลายคนเน้นโพสต์ใน Facebook, LINE OA, Marketplace โดยใช้โพสต์ template
ไม่เน้นสร้าง personal brand หรือทำ content แบบมืออาชีพ
.
ต่างชาติ: “นายหน้าคือ Influencer”
สร้าง YouTube Channel, Podcast, Instagram Reel
บางคนทำ property tour แบบระดับ Netflix
มองว่า “แบรนด์ตัวเอง” = สินทรัพย์ระยะยาวที่หาลูกค้าเองได้
.
.
❽ ทัศนคติและวิธีคิด:
ไทย: “นายหน้าคือคนกลาง”
ไม่ต้องรู้อะไรมาก แค่จับผู้ซื้อกับผู้ขายมาทำสัญญา
.
ต่างชาติ: “นายหน้าคือผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหา”
ความต่างสำคัญอยู่ที่ “Mindset” — ว่านายหน้ามองตัวเองเป็นแค่ผู้ประสานงาน
หรือมองว่าเป็น “ที่ปรึกษา” ที่มีมูลค่าต่อกระบวนการทั้งระบบ
.
.
❾ จรรยาบรรณ (Code of Ethics):
ไทย: “ไม่มีใครบังคับ ใครอยากยึดถือก็แล้วแต่ใจ”
ไม่มีสมาคมนายหน้าที่บังคับใช้กฎจรรยาบรรณแบบจริงจัง
บางคนขายทรัพย์ที่ยังไม่พร้อมขาย โก่งราคา แอบเปลี่ยนข้อมูล แย่งลูกค้า
คำว่า “มารยาท” อยู่ในระดับ “ควร” ไม่ใช่ “ต้อง”
.
ต่างชาติ: “ผิดจรรยาบรรณ = โดนฟ้อง หรือโดนเพิกถอนใบอนุญาต”
สมาคมนายหน้า เช่น NAR (National Association of Realtors) ในอเมริกา มีจรรยาบรรณเข้มงวด
มีบทลงโทษจริง: จาก “โดนปรับ” ไปจนถึง “เพิกถอนใบอนุญาต”
ข้อหาหนักๆ เช่น
ปลอมข้อมูล listing
แย่งลูกค้าเพื่อนร่วมอาชีพ
รับ commission แบบผิดหลัก
นั่นคือเหตุผลที่นายหน้าต่างชาติต้องรักษาชื่อเสียงแบบรักษาชีวิต เพราะชื่อเสียง = license
.
.
❿ ระบบพัฒนาอาชีพอย่างเป็นทางการ
ไทย: “ไม่มีเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน”
นายหน้าหลายคนเข้าแล้วก็ออก ไม่สามารถวางแผนอนาคตหรือเติบโตอย่างมีเส้นทาง
ไม่มี career ladder หรือระบบ mentor / training ระดับชาติ
คนใหม่ๆ ต้องคลำทางเอง — หรือฝากตัวกับทีมขายที่อาจไม่มีโครงสร้าง
.
ต่างชาติ: “มีเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจนเหมือนองค์กร”
เริ่มจากเป็น “Agent”
เติบโตเป็น “Team Leader”, “Broker Associate” ไปจนถึง “Managing Broker”
หลายแบรนด์มี Training System, Mentorship Program และ Continuing Education แบบเข้มข้น
อาชีพนายหน้าในบางประเทศถูกยกให้เทียบเท่าทนาย หรือ CPA (นักบัญชีสอบผ่านวิชาชีพ)
.
.
⓫ เครื่องมือที่ใช้ทำงาน:
ไทย: “มือถือ + LINE = พร้อมขาย”
ระบบที่ใช้คือมือถือ + Excel + Line OA + โทรหาเพื่อน + Marketplace
ไม่ค่อยใช้ CRM, AI, หรือ Marketing Automation จริงจัง
.
ต่างชาติ: “Tech Stack แบบอาชีพ”
ใช้ CRM (เช่น Salesforce, Hubspot, FollowUpBoss)
ใช้ AI วิเคราะห์ propensity to buy / pricing model
มีระบบ Virtual Tour, Drone, Digital Staging, Lead Nurturing
และมี "Transaction Coordinator" เป็นมืออาชีพมาดูแลหลังบ้าน
.
.
⓬ วิธีคิดเชิงกลยุทธ์:
ไทย: “ได้คอมวันไหน ค่อยคิดวันนั้น”
ทำงานแบบจบรายดีล รายเดือน คิดสั้น
ไม่ได้วางระบบ repeat client หรือสร้าง pipeline ระยะยาว
.
ต่างชาติ: “เล่นเกมระยะยาว”
ทำงานเชิงกลยุทธ์: สร้างฐานลูกค้าแบบ Lifetime Value
สะสม Review, สร้าง Referral Network
คิดแบบ CEO ของ Personal Brand ของตัวเอง
.
.
⓭ การให้ความรู้ลูกค้า:
ไทย: “อยากรู้ก็ถามมา”
หลายคนตอบคำถามเฉพาะจุด ไม่ได้เตรียมความรู้เพื่อส่งมอบให้ลูกค้า
ไม่ได้ทำคู่มือการซื้อ-ขายบ้าน หรือวิดีโอสอนลูกค้า
.
ต่างชาติ: “ให้ก่อนขาย”
ทำ Blog, eBook, Checklist, Video ให้ความรู้กับลูกค้า
ตำแหน่ง Agent ไม่ใช่แค่คนพาดู แต่คือตำแหน่ง “ครู” ที่คนเชื่อถือ
เนื้อหาทั้งหมดจะกลายเป็น Lead Magnet — ลูกค้ามาหาเราเองโดยไม่ต้อง Cold Call
.
.
⓮ การจัดการหลังปิดดีล:
ไทย: “ปิดดีลแล้ว หายเลย”
ไม่ได้มีระบบติดตามลูกค้าหลังซื้อขาย
ไม่ได้เช็ก follow-up / review / customer lifetime value
ลูกค้ากลับมาหาก็ถือว่าโชคดี ไม่กลับมาก็ไม่คิดมาก
.
ต่างชาติ: “ระบบ Follow-up ยาว 2-3 ปี”
ส่งอีเมลทุกเดือน, Happy Birthday Card, ของขวัญวันย้ายบ้าน
ขอรีวิว, ทำรีเฟอร์รัล, ติดตามทรัพย์ที่อาจขายต่อในอนาคต
มีระบบ Customer Success หลังการขาย (เหมือน SaaS)
.
.
⓮ การเข้าถึงเครื่องมือราคาตลาด:
ไทย: “ราคาเช็คจากโพสต์”
ต้องเทียบราคาเอาเองจากเพจประกาศขาย
ไม่มี access ถึงราคาโอนจริง, ไม่มี insight ระดับ big data
.
ต่างชาติ: “รู้ราคาตลาดแบบ real-time”
เข้าถึง price history, market trends, days on market, price per sqft
บางที่สามารถเข้าถึง Zestimate, AVM (Automated Valuation Model)
ใช้ AI / Data-driven decision making
.
.
⓯ “ใครคือเจ้าของลูกค้า?”
ไทย: “ลูกค้าใครก็ไม่รู้ ขอแค่พาปิดดีลให้ได้”
ระบบที่ยังไม่มีการเซ็นเอกสารผูกมัด ทำให้ใครๆ ก็สามารถ claim ลูกค้าได้
บางเคส: ลูกค้าไปดูบ้านกับ A แต่ซื้อกับ B เพราะ B เสนอส่วนลดมากกว่า
ความสัมพันธ์ระหว่าง Agent กับลูกค้า = หลวม และไม่ยั่งยืน
.
ต่างชาติ: “ลูกค้าคือทรัพย์สิน”
มีระบบ "Exclusive Buyer Representation" — ถ้าลูกค้าเซ็นกับ Agent A แล้ว
ลูกค้าต้องใช้บริการ Agent A เท่านั้น
ถ้ามีการละเมิดสิทธิ์ หรือมี Agent อื่นมาแย่งลูกค้า สามารถฟ้องร้องหรือแจ้งสมาคมให้ดำเนินการได้
ลูกค้าคือ Asset ที่มีมูลค่าในบัญชีธุรกิจ ไม่ใช่แค่ “คนเดินดูบ้าน”
.
.
⓰ ความสัมพันธ์ระหว่างเอเจนต์กับแบรนด์
ไทย: “ใครก็เปิดเพจได้ ไม่ง้อแบรนด์”
เอเจนต์ไทยนิยมทำ Personal Page เอง ใครๆ ก็เป็น Matching Property ได้
ไม่ต้องมีบริษัทแม่ ไม่ต้องมีแบรนด์ใหญ่ ก็วิ่งขายได้
.
ต่างชาติ: “แบรนด์คือเครื่องมือ”
ทำงานภายใต้ Franchise ใหญ่ เช่น Keller Williams, RE/MAX, Compass, Century 21
บริษัทใหญ่มีเครื่องมือการตลาด, Legal Support, CRM, Training, MLS Access
แต่ละ Agent มีหมายเลขใบอนุญาต มี profile ชัดในเว็บไซต์บริษัท
Agent แข็งแรงเพราะระบบแบรนด์ และแบรนด์แข็งแรงเพราะระบบ Agent
ระบบแบรนด์ของต่างชาติ = ecosystem ที่ทุกคนเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเดียว
.
.
⓱ บทบาทของภาครัฐและกฎหมาย
ไทย: “ภาครัฐเงียบเหมือนปิดมือถือ”
ยังไม่มีหน่วยงานรัฐกลางที่คุมตรงๆ ด้านนายหน้าแบบเข้มข้น
พ.ร.บ.นายหน้าอสังหาไม่มี หรือมีแต่ไม่ enforce (บังคับใช้)
ปัญหาอย่างการโกงเงินจอง การหลอกโอนเงินยังเกิดได้บ่อย
.
ต่างชาติ: “ภาครัฐคือผู้คุมสนาม”
การรับค่านายหน้าโดยไม่มี license = ผิดกฎหมาย
ทุก transaction ต้องผ่าน escrow หรือ trust account (ห้ามถือเงินเอง)
การโฆษณาที่ misleading = โดนลงโทษ
ใบอนุญาตถูกตรวจสอบทุกปี ต้องมีชั่วโมงอบรมต่อเนื่อง
.
.
⓲ ภาษาที่ใช้ในการขาย
ไทย: “คำพูดคือเครื่องมือหลอกล่อ”
บางคนยังใช้คำโฆษณาเว่อวัง เช่น "วิวทะเลทุกห้อง", "ราคาถูกสุดในตลาด", "ด่วนก่อนหมด"
หรือปิดข้อมูล เช่น “อยู่ใกล้ BTS” (แต่ต้องนั่งวินเข้าไปอีก 5 กม.)
.
ต่างชาติ: “คำพูด = เอกสาร”
ถ้าโฆษณาอะไรไป ต้องสามารถ “พิสูจน์ได้”
คำพูดของเอเจนต์สามารถถูกใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้
ทุกจุดใน listing ต้องเป็นความจริง: พื้นที่, ขนาด, ปีสร้าง, ค่าธรรมเนียม, ภาษี ฯลฯ
Agent พูดอะไรไม่ได้พูดเล่น — พูดผิดคือหายนะ
.
.
⓳ ทักษะทางการเงินของนายหน้า
ไทย: “ปิดได้คือรอด”
นายหน้าหลายคนไม่ได้วางแผนภาษี วางแผนรายได้ หรือคำนวณ cost per lead
ไม่รู้ว่าค่าการตลาดที่จ่ายไปทำให้ ROI เท่าไหร่
การเงิน = จ่ายตามอารมณ์
.
ต่างชาติ: “นายหน้าคือเจ้าของกิจการ”
คิดเป็น Financial Model: มีบัญชีรายรับรายจ่าย, ลงทุนการตลาดแบบ ROI based
วางแผนภาษี, มีการหักค่าใช้จ่าย, ทำ Retirement Plan
วางแผนเงินสดแบบนักลงทุน — ไม่ใช่พนักงานเงินเดือน
.
.
⓴ มุมมองต่อตัวเอง:
ไทย: “ฉันคือคนกลาง”
หลายคนไม่กล้าเก็บค่าบริการเพิ่ม ไม่กล้า present ตัวเองในฐานะมืออาชีพ
กลัวว่าแพง กลัวลูกค้าไม่ใช้ กลัวเจ้าของด่า
.
ต่างชาติ: “ฉันคือ Asset Manager / Consultant”
มองตัวเองว่าเป็นที่ปรึกษาที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์และลูกค้าได้
บางรายคิด Service Fee แยกจาก Commission ด้วยซ้ำ เช่น ค่าการตลาด, ค่าขึ้นระบบ, ค่าถ่ายภาพ
.
.
㉑การปรับตัวรับเทคโนโลยี
ไทย: “ใช้ได้ แต่ไม่ใช้”
หลายคนรู้จัก PropTech, AI, ระบบ CRM, Automation แต่ไม่ใช้
ยังโพสต์ขายด้วยมือถือ – ไม่มีระบบติดตามลูกค้าแบบ CRM
ไม่ใช้ Data Analytics ในการวางราคาหรือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
.
ต่างชาติ: “Tech is a Standard”
ใช้ Chatbot, AI Valuation, Virtual Staging, Matterport Tour
ระบบ MLS มี Plugin AI ที่เป็นอัลกอริทึ่มช่วยแนะนำทรัพย์แบบ (You may also like…)
ปรับตัวเร็วกว่า เพราะรู้ว่าเทคโนโลยีคือส่วนหนึ่งของการแข่งขัน
.
.
㉒.Mindset ที่น่ากลัวที่สุด:
ไทย: “ทำไปก่อน เดี๋ยวก็ผ่านไป”
ต่างชาติ: “ต้องทำให้ดี เพราะลูกค้าคือทุน”
.
.
ดังนั้นจุดที่เป็นปัญหาหลัก
เรียกว่าเป็นกระดุมเม็ดแรกเลย
ที่ทำให้เป็นปัญหากันตั้งแต่แรก
.
นั่นคือการที่ไม่มีกฎหมาย
บังคับให้สอบก่อนเป็นนายหน้า
ปัจจุบันยังไม่มี พระราชบัญญัติ ที่กำหนดให้
“การเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์”
ต้องสอบหรือได้รับใบอนุญาตก่อน
.
ดังนั้นการสอบหรือไม่สอบ
จึงไม่ใช่ประเด็นหลัก
เพราะตอนนี้ไม่มีฎหมายบังคับ
.
ใครก็เป็นได้
ขอแค่มีทรัพย์หรือมีลูกค้า
มี Facebook หรือ LINE
ก็เริ่มต้นได้ทันที
.
การอบรมที่มีอยู่
มักเป็นการอบรมโดยเอกชนหรือสมาคม เช่น
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย (TREBA)
สมาคมอสังหาริมทรัพย์แห่งประเทศไทย (REBA)
สถาบันฝึกอบรมภาคเอกชน เช่น AREA, KP, D-Land, Propnex Thailand
.
มีคอร์สอบรม แต่ไม่บังคับ
หลายสถาบันมีหลักสูตรอบรม 1–5 วัน จบแล้วได้ใบประกาศนียบัตรเท่านั้น
ใบนี้ใช้ “เพิ่มความน่าเชื่อถือ” กับเจ้าของบ้านหรือบริษัทอสังหา
ไม่มีระบบสอบกลาง ไม่มีข้อสอบมาตรฐาน ไม่มีการวัดจริยธรรมแบบที่เป็นระบบ
.
แตกต่างจากต่างประเทศ
การสอบนายหน้า คือคอขวดสำคัญของระบบ
ที่อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา สิงคโปร์
และอีกหลายประเทศ
การสอบบรรจุเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
.
สหรัฐอเมริกา:
ต้องผ่าน 3 ขั้นตอนหลัก:
1.Pre-licensing Course
เรียน 60–180 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับรัฐ)
เรียนเรื่องกฎหมายอสังหา, สัญญา, การเงิน, จรรยาบรรณ, สิทธิในที่ดิน ฯลฯ
2.สอบข้อเขียน (Real Estate Exam)
แยกเป็น 2 Part: National law กับ State-specific law
ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ มีเกณฑ์ผ่านชัดเจน (เช่น ต้องได้เกิน 70%)
3.สมัครขอใบอนุญาต (License Application)
ต้องมี background check
ต้องระบุว่าอยู่ภายใต้บริษัทใด (Broker Sponsorship)
ต้องเรียนต่อเนื่อง (Continuing Education)
ทุก 1–2 ปี ต้องเรียนวิชาต่อเนื่อง (CE) เพื่อรักษาใบอนุญาต
ถ้าไม่เรียนหรือไม่ยื่นเอกสาร — License จะหมดอายุหรือถูกเพิกถอน
.
สิงคโปร์:
ต้องสอบผ่าน CEA (Council for Estate Agencies)
1.อบรม REA / RES Course (Real Estate Salesperson)
เรียน 6–8 สัปดาห์
ผ่านการรับรองโดย CEA
2.สอบวัดผล
สอบภาคทฤษฎี: กฎหมาย, การขาย, การเช่า, การจัดการอสังหา
ถ้าสอบตก ต้องรอสอบรอบถัดไป (ปีละ 2–3 ครั้งเท่านั้น)
3.ลงทะเบียนภายใต้บริษัทนายหน้า (Estate Agency)
ทุกคนต้องมีสังกัด ห้ามทำงานอิสระ
บริษัทต้องมี Broker-in-charge ที่คอยรับผิดชอบ
.
ออสเตรเลีย:
ต้องมี License จากรัฐ (ไม่ใช่ระดับประเทศ)
ตัวอย่างเช่นใน NSW (New South Wales)
ต้องเรียนหลักสูตร “Certificate IV in Real Estate Practice”
ต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม
ต้องมีการฝึกงานหรือทำงานภายใต้ผู้มี License ก่อนจะสอบเป็น Agent เต็มตัว
.
มีหน่วยงานกำกับเฉพาะรัฐ เช่น:
NSW Fair Trading
Consumer Affairs Victoria
Real Estate Institute of Queensland
.
.
ถ้าจะรื้อพรมเพื่อเปิดดูปัญหากันอย่างจริงจัง
ระบบไทยเปิดเสรีสูงเกินไป
จนขาดมาตรฐานกลาง
ส่งผลให้เกิดปัญหานายหน้าเถื่อน
โกงเงินจอง หลอกขายทรัพย์ไม่จริง ฯลฯ
.
ระบบต่างประเทศเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
กำหนด “Barrier of Entry” ให้สูง
เพื่อให้คนที่เข้าสู่ระบบมีความรู้ ความรับผิดชอบ
และมีหลักฐานตรวจสอบได้
.
หากไทยจะยกระดับนายหน้าให้เป็น "วิชาชีพ" จริง
จำเป็นต้องผลักดัน พ.ร.บ.นายหน้าอสังหาริมทรัพย์
+ สร้างระบบสอบกลาง
+ ควบคุมจรรยาบรรณแบบ enforce ได้จริง
.
หากนายหน้าไทยไม่ปรับตัว
ไม่สร้างแบรนด์ ไม่พัฒนาทักษะ
โลกนี้ไม่ได้ใจดีพอจะรอเราไปถึงจุดนั้น
"ในโลกที่นายหน้าไทยยังพึ่งดวง... นายหน้าต่างชาติพึ่งระบบ"
.
ถ้านายหน้าไทยยังไม่เร่ง "สร้างระบบ"
ก็ต้องเตรียมตัว "กลายเป็นแรงงานฟรีแลนซ์"
ที่ไม่มีที่ยืนในอุตสาหกรรม
และกำลังถูก disrupt
.
ในวันที่ PropTech ต่างชาติกำลังรุกตลาดไทย
คนที่ไม่มีระบบ ไม่มีแบรนด์ ไม่มีความรู้
จะถูกแทนที่เร็วขึ้นกว่าที่คิด
.
อีก 5 ปี เอเจ้นท์ที่ไม่มีระบบในการทำงาน
จะเริ่มมีตลาดที่เล็กลง
ช่วงนั้นเอเจ้นท์ตลาดกลาง
จะเข้ามาเบียดเล่นสนามเดียวกับตลาดล่าง
และอีก 10 ปี
เอเจ้นท์ตัวเล็กๆ
อาจจะไม่มีที่ยืนในสนาม
ก็เป็นได้
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่