ไทย vs ต่างชาติ: ความต่างระดับ “นายหน้าอสังหา”

พบ 13 จุดแตกต่างที่ทำให้มืออาชีพต่างชาติก้าวหน้า ขณะที่บ้านเราเดินช้า

post date  โพสต์เมื่อ 19 พ.ย. 2568   view 198537
article

มี FC ท่านนึง

อยู่ต่างประเทศมานาน

นางโทรมาเม้าท์ให้ฟังว่า

เอเจ้นท์ต่างชาติกับที่ไทย

ไม่เหมือนกันเลย

.

เอเจ้นท์ต่างชาติคือดูดีมีฐานะสุดๆ

ทำงานกันเป๊ะมาก

มีความเป็นมืออาชีพ

และเจ้าของเองก็ respect เอเจ้นท์สุดๆ

.

เรทค่าคอมก็แตกต่างกัน

3 % นี่ไม่มีให้เห็น

มีตั้งแต่ 5% ยัน 10%

.

ใช่ครับถูกต้อง

เอเจ้นท์ต่างประเทศเป็นอาชีพที่มีมาตรฐานสูง

กว่าจะได้เป็นอาชีพนี้ได้

เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็น

.

เรามาดูความแตกต่างระหว่าง

“นายหน้าไทย vs นายหน้าต่างชาติ” กันดีกว่า

ว่ามันแตกต่างกันแค่ไหน

ทำไมมาตรฐานการทำงานของเรากับของเค้า

ถึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

.

.

❶ รูปแบบการเข้ามาในอาชีพ

🇹🇭 ไทย: “ใครก็เป็นได้”

นายหน้าไทยจำนวนมาก “เริ่มจากศูนย์”

ไม่ได้ผ่านการอบรมหรือมีใบอนุญาตก่อนเริ่มทำงาน

ไม่ต้องมี license

ก็สามารถวิ่งหาทรัพย์-พาลูกค้าดูได้เลย

บางคนเริ่มจากการช่วยญาติขายบ้าน

บางคนมาเพราะตกงาน

บางคนแค่อยากหารายได้เสริม

❝อาชีพนี้ในไทยยังไม่ได้ถูกควบคุมในระดับรัฐแบบจริงจัง ใครจะทำก็ทำได้❞

.

🌍ต่างประเทศ: “License is a must”

ในประเทศพัฒนาแล้ว

เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย สิงคโปร์

การจะเป็นนายหน้าได้

ต้องสอบผ่านและได้รับใบอนุญาต (Real Estate License)

มีหน่วยงานควบคุมชัดเจน

บางประเทศมีการกำหนดว่า หากไม่มี license

คุณห้ามรับค่านายหน้า

ไม่งั้นจะมีโทษสถานหนัก

.

.

❷ วิธีการหาทรัพย์และลูกค้า

🇹🇭 ไทย: “หาทรัพย์ก่อน ค่อยหาคน”

🔥วิ่งหาทรัพย์จากโพสต์ในกลุ่ม

🔥โทร Cold call เจ้าของบ้านจากแผงประกาศ

🔥สร้างโพสต์ใน Facebook Marketplace

🔥หรือโพสต์ขายทรัพย์คนอื่นแบบ “ยืมโพสต์”

🔥เป็นการตลาดแบบเสี่ยงๆ บางทีโพสต์ทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาตก็มี

.

🌍 ต่างชาติ: “หาคนก่อน แล้วค่อยหาทรัพย์”

⭐Agent ต่างชาติจะเริ่มจาก การสร้างฐานลูกค้า สนิทกับ buyer มากกว่า

⭐ทำ Buyer Consultation จริงจัง: นั่งคุยเพื่อเข้าใจความต้องการอย่างลึก

⭐เมื่อรู้ว่าลูกค้าอยากได้อะไร จะใช้ MLS (Multiple Listing Service) เพื่อค้นหาทรัพย์ที่ตอบโจทย์ทันที

⭐ไม่ต้องวิ่งหาทรัพย์จาก Facebook หรือโทร Cold Call เพราะมีระบบกลางไว้หมดแล้ว

.

.

❸ การเก็บข้อมูลทรัพย์และการแชร์กันในวงการ

🇹🇭 ไทย: “ข้อมูลกระจัดกระจาย ซ้ำซ้อน ซ่อนราคา”

🔥ไม่มีระบบ MLS กลาง

🔥ทรัพย์ 1 ห้อง โผล่ใน 20 โพสต์ ราคาต่างกันหมด

🔥เจ้าของประกาศ 5.5 ล้าน เอเจ้นต์โพสต์ 5.7 อีกคนโพสต์ 5.4

🔥ข้อมูลไม่อัปเดต ทรัพย์ขายไปแล้วก็ยังโพสต์อยู่

.

🌍 ต่างชาติ: “โปร่งใสและแม่นยำแบบห้องผ่าตัด”

⭐มีระบบ MLS ที่รวมข้อมูลทุกทรัพย์ที่ listing อยู่ในตลาดแบบ real-time

⭐ข้อมูล standardized: location, history, agent, commission, availability

⭐ความแม่นยำของข้อมูล คืออาวุธในการทำงานและลดความขัดแย้ง

.

.

❹ การทำสัญญา

🇹🇭 ไทย: “ขอทำก่อน สัญญาทีหลัง”

🔥นายหน้าไทยจำนวนมากยังทำงานแบบ “ไม่มีสัญญา”

🔥เจอเจ้าของใจดี ให้โพสต์ขายก็โพสต์เลย

🔥สุดท้ายโดนตัดหน้า โดนขายเอง ไม่ได้ค่าอะไรเลย

🔥หรือกรณีลูกค้าใช้เอเจ้นต์อื่นปิดแทน ก็ไม่มีหลักฐานปกป้องตัวเอง

.

🌍 ต่างชาติ: “No contract, No service”

⭐ไม่มีใครเริ่มงานโดยไม่มีเอกสาร

⭐ทั้งฝั่ง Buyer และ Seller ต้องเซ็น “Agency Agreement” หรือ “Representation Agreement”

⭐ข้อกำหนดและเงื่อนไขการทำงานถูกวางไว้ตั้งแต่ต้น — ป้องกันปัญหาทุกอย่าง

.

.

❺ ค่าคอมมิชชั่น

🇹🇭 ไทย: “ไม่ตายตัว ต่อรองได้”

🔥ขึ้นอยู่กับตกลงเป็นรายเคส — บางครั้งได้ 3%, บางครั้งแค่ 1%, หรือไม่ได้เลย

🔥บางครั้งนายหน้าแบ่งกันหลายทอดจนคนพาลูกค้าได้จริงเหลือไม่กี่พัน

.

🌍 ต่างชาติ: “ชัดเจนเป็นระบบ”

⭐ค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ย 5–6% ในอเมริกา และระบบจะมีการแบ่ง Buyer Agent / Seller Agent ชัดเจน

⭐เงินจะผ่าน Title Company หรือ Solicitor แล้วค่อยจ่ายไปยังเอเจ้นต์ ไม่ต้องวุ่นวายเรียกเก็บเอง

.

.

❻ บทบาทและการบริการ

🇹🇭 ไทย: “แค่พาดู”

🔥หลายคนมองว่างานเอเจ้นต์ = พาลูกค้าไปดูทรัพย์

🔥หลังดูเสร็จ ปล่อยลูกค้าคิดเอง ติดต่อเอง หรือบางคนไม่รับสายอีกเลย

🔥งาน service ไม่ใช่จุดขาย

.

🌍 ต่างชาติ: “ที่ปรึกษา 360 องศา”

⭐เอเจ้นต์ต่างชาติจะทำงานแบบ Real Estate Advisor

⭐ให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การขอสินเชื่อ การจัดจ้าง inspector การเจรจา deal

⭐และดูแลจนจบกระบวนการ transfer

⭐ความต่างอยู่ที่ "ownership" — ไม่ใช่แค่พาดู แต่พาไปถึงเป้าหมาย

.

.

❼ การตลาดและแบรนด์ส่วนตัว:

🇹🇭 ไทย: “โพสต์ในกลุ่ม แล้วก็รอลุ้น”

🔥หลายคนเน้นโพสต์ใน Facebook, LINE OA, Marketplace โดยใช้โพสต์ template

🔥ไม่เน้นสร้าง personal brand หรือทำ content แบบมืออาชีพ

.

🌍 ต่างชาติ: “นายหน้าคือ Influencer”

⭐สร้าง YouTube Channel, Podcast, Instagram Reel

⭐บางคนทำ property tour แบบระดับ Netflix

⭐มองว่า “แบรนด์ตัวเอง” = สินทรัพย์ระยะยาวที่หาลูกค้าเองได้

.

.

❽ ทัศนคติและวิธีคิด:

🇹🇭 ไทย: “นายหน้าคือคนกลาง”

🔥 ไม่ต้องรู้อะไรมาก แค่จับผู้ซื้อกับผู้ขายมาทำสัญญา

.

🌍 ต่างชาติ: “นายหน้าคือผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหา”

⭐ความต่างสำคัญอยู่ที่ “Mindset” — ว่านายหน้ามองตัวเองเป็นแค่ผู้ประสานงาน

⭐หรือมองว่าเป็น “ที่ปรึกษา” ที่มีมูลค่าต่อกระบวนการทั้งระบบ

.

.

❾ จรรยาบรรณ (Code of Ethics):

🇹🇭 ไทย: “ไม่มีใครบังคับ ใครอยากยึดถือก็แล้วแต่ใจ”

🔥ไม่มีสมาคมนายหน้าที่บังคับใช้กฎจรรยาบรรณแบบจริงจัง

🔥บางคนขายทรัพย์ที่ยังไม่พร้อมขาย โก่งราคา แอบเปลี่ยนข้อมูล แย่งลูกค้า

🔥คำว่า “มารยาท” อยู่ในระดับ “ควร” ไม่ใช่ “ต้อง”

.

🌍 ต่างชาติ: “ผิดจรรยาบรรณ = โดนฟ้อง หรือโดนเพิกถอนใบอนุญาต”

⭐สมาคมนายหน้า เช่น NAR (National Association of Realtors) ในอเมริกา มีจรรยาบรรณเข้มงวด

⭐มีบทลงโทษจริง: จาก “โดนปรับ” ไปจนถึง “เพิกถอนใบอนุญาต”

⭐ข้อหาหนักๆ เช่น

ปลอมข้อมูล listing

แย่งลูกค้าเพื่อนร่วมอาชีพ

รับ commission แบบผิดหลัก

⭐นั่นคือเหตุผลที่นายหน้าต่างชาติต้องรักษาชื่อเสียงแบบรักษาชีวิต เพราะชื่อเสียง = license

.

.

❿ ระบบพัฒนาอาชีพอย่างเป็นทางการ

🇹🇭 ไทย: “ไม่มีเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน”

🔥นายหน้าหลายคนเข้าแล้วก็ออก ไม่สามารถวางแผนอนาคตหรือเติบโตอย่างมีเส้นทาง

🔥ไม่มี career ladder หรือระบบ mentor / training ระดับชาติ

🔥คนใหม่ๆ ต้องคลำทางเอง — หรือฝากตัวกับทีมขายที่อาจไม่มีโครงสร้าง

.

🌍 ต่างชาติ: “มีเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจนเหมือนองค์กร”

⭐เริ่มจากเป็น “Agent”

⭐เติบโตเป็น “Team Leader”, “Broker Associate” ไปจนถึง “Managing Broker”

⭐หลายแบรนด์มี Training System, Mentorship Program และ Continuing Education แบบเข้มข้น

⭐อาชีพนายหน้าในบางประเทศถูกยกให้เทียบเท่าทนาย หรือ CPA (นักบัญชีสอบผ่านวิชาชีพ)

.

.

⓫ เครื่องมือที่ใช้ทำงาน:

🇹🇭 ไทย: “มือถือ + LINE = พร้อมขาย”

🔥ระบบที่ใช้คือมือถือ + Excel + Line OA + โทรหาเพื่อน + Marketplace

🔥ไม่ค่อยใช้ CRM, AI, หรือ Marketing Automation จริงจัง

.

🌍 ต่างชาติ: “Tech Stack แบบอาชีพ”

⭐ใช้ CRM (เช่น Salesforce, Hubspot, FollowUpBoss)

⭐ใช้ AI วิเคราะห์ propensity to buy / pricing model

⭐มีระบบ Virtual Tour, Drone, Digital Staging, Lead Nurturing

⭐และมี "Transaction Coordinator" เป็นมืออาชีพมาดูแลหลังบ้าน

.

.

⓬ วิธีคิดเชิงกลยุทธ์:

🇹🇭 ไทย: “ได้คอมวันไหน ค่อยคิดวันนั้น”

🔥ทำงานแบบจบรายดีล รายเดือน คิดสั้น

🔥ไม่ได้วางระบบ repeat client หรือสร้าง pipeline ระยะยาว

.

🌍 ต่างชาติ: “เล่นเกมระยะยาว”

⭐ทำงานเชิงกลยุทธ์: สร้างฐานลูกค้าแบบ Lifetime Value

⭐สะสม Review, สร้าง Referral Network

⭐คิดแบบ CEO ของ Personal Brand ของตัวเอง

.

.

⓭ การให้ความรู้ลูกค้า:

🇹🇭 ไทย: “อยากรู้ก็ถามมา”

🔥หลายคนตอบคำถามเฉพาะจุด ไม่ได้เตรียมความรู้เพื่อส่งมอบให้ลูกค้า

🔥ไม่ได้ทำคู่มือการซื้อ-ขายบ้าน หรือวิดีโอสอนลูกค้า

.

🌍 ต่างชาติ: “ให้ก่อนขาย”

⭐ทำ Blog, eBook, Checklist, Video ให้ความรู้กับลูกค้า

⭐ตำแหน่ง Agent ไม่ใช่แค่คนพาดู แต่คือตำแหน่ง “ครู” ที่คนเชื่อถือ

⭐เนื้อหาทั้งหมดจะกลายเป็น Lead Magnet — ลูกค้ามาหาเราเองโดยไม่ต้อง Cold Call

.

.

⓮ การจัดการหลังปิดดีล:

🇹🇭 ไทย: “ปิดดีลแล้ว หายเลย”

🔥ไม่ได้มีระบบติดตามลูกค้าหลังซื้อขาย

🔥ไม่ได้เช็ก follow-up / review / customer lifetime value

🔥ลูกค้ากลับมาหาก็ถือว่าโชคดี ไม่กลับมาก็ไม่คิดมาก

.

🌍 ต่างชาติ: “ระบบ Follow-up ยาว 2-3 ปี”

⭐ส่งอีเมลทุกเดือน, Happy Birthday Card, ของขวัญวันย้ายบ้าน

⭐ขอรีวิว, ทำรีเฟอร์รัล, ติดตามทรัพย์ที่อาจขายต่อในอนาคต

⭐มีระบบ Customer Success หลังการขาย (เหมือน SaaS)

.

.

⓮ การเข้าถึงเครื่องมือราคาตลาด:

🇹🇭 ไทย: “ราคาเช็คจากโพสต์”

🔥ต้องเทียบราคาเอาเองจากเพจประกาศขาย

🔥ไม่มี access ถึงราคาโอนจริง, ไม่มี insight ระดับ big data

.

🌍 ต่างชาติ: “รู้ราคาตลาดแบบ real-time”

⭐เข้าถึง price history, market trends, days on market, price per sqft

⭐บางที่สามารถเข้าถึง Zestimate, AVM (Automated Valuation Model)

⭐ใช้ AI / Data-driven decision making

.

.

⓯ “ใครคือเจ้าของลูกค้า?”

🇹🇭 ไทย: “ลูกค้าใครก็ไม่รู้ ขอแค่พาปิดดีลให้ได้”

🔥ระบบที่ยังไม่มีการเซ็นเอกสารผูกมัด ทำให้ใครๆ ก็สามารถ claim ลูกค้าได้

🔥บางเคส: ลูกค้าไปดูบ้านกับ A แต่ซื้อกับ B เพราะ B เสนอส่วนลดมากกว่า

🔥ความสัมพันธ์ระหว่าง Agent กับลูกค้า = หลวม และไม่ยั่งยืน

.

🌍 ต่างชาติ: “ลูกค้าคือทรัพย์สิน”

⭐มีระบบ "Exclusive Buyer Representation" — ถ้าลูกค้าเซ็นกับ Agent A แล้ว

ลูกค้าต้องใช้บริการ Agent A เท่านั้น

⭐ถ้ามีการละเมิดสิทธิ์ หรือมี Agent อื่นมาแย่งลูกค้า สามารถฟ้องร้องหรือแจ้งสมาคมให้ดำเนินการได้

⭐ลูกค้าคือ Asset ที่มีมูลค่าในบัญชีธุรกิจ ไม่ใช่แค่ “คนเดินดูบ้าน”

.

.

⓰ ความสัมพันธ์ระหว่างเอเจนต์กับแบรนด์

🇹🇭 ไทย: “ใครก็เปิดเพจได้ ไม่ง้อแบรนด์”

🔥เอเจนต์ไทยนิยมทำ Personal Page เอง ใครๆ ก็เป็น Matching Property ได้

🔥ไม่ต้องมีบริษัทแม่ ไม่ต้องมีแบรนด์ใหญ่ ก็วิ่งขายได้

.

🌍 ต่างชาติ: “แบรนด์คือเครื่องมือ”

⭐ทำงานภายใต้ Franchise ใหญ่ เช่น Keller Williams, RE/MAX, Compass, Century 21

⭐บริษัทใหญ่มีเครื่องมือการตลาด, Legal Support, CRM, Training, MLS Access

⭐แต่ละ Agent มีหมายเลขใบอนุญาต มี profile ชัดในเว็บไซต์บริษัท

⭐Agent แข็งแรงเพราะระบบแบรนด์ และแบรนด์แข็งแรงเพราะระบบ Agent

⭐ระบบแบรนด์ของต่างชาติ = ecosystem ที่ทุกคนเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเดียว

.

.

⓱ บทบาทของภาครัฐและกฎหมาย

🇹🇭 ไทย: “ภาครัฐเงียบเหมือนปิดมือถือ”

🔥ยังไม่มีหน่วยงานรัฐกลางที่คุมตรงๆ ด้านนายหน้าแบบเข้มข้น

🔥พ.ร.บ.นายหน้าอสังหาไม่มี หรือมีแต่ไม่ enforce (บังคับใช้)

🔥ปัญหาอย่างการโกงเงินจอง การหลอกโอนเงินยังเกิดได้บ่อย

.

🌍 ต่างชาติ: “ภาครัฐคือผู้คุมสนาม”

⭐การรับค่านายหน้าโดยไม่มี license = ผิดกฎหมาย

⭐ทุก transaction ต้องผ่าน escrow หรือ trust account (ห้ามถือเงินเอง)

⭐การโฆษณาที่ misleading = โดนลงโทษ

⭐ใบอนุญาตถูกตรวจสอบทุกปี ต้องมีชั่วโมงอบรมต่อเนื่อง

.

.

⓲ ภาษาที่ใช้ในการขาย

🇹🇭 ไทย: “คำพูดคือเครื่องมือหลอกล่อ”

🔥บางคนยังใช้คำโฆษณาเว่อวัง เช่น "วิวทะเลทุกห้อง", "ราคาถูกสุดในตลาด", "ด่วนก่อนหมด"

🔥หรือปิดข้อมูล เช่น “อยู่ใกล้ BTS” (แต่ต้องนั่งวินเข้าไปอีก 5 กม.)

.

🌍 ต่างชาติ: “คำพูด = เอกสาร”

⭐ถ้าโฆษณาอะไรไป ต้องสามารถ “พิสูจน์ได้”

⭐คำพูดของเอเจนต์สามารถถูกใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้

⭐ทุกจุดใน listing ต้องเป็นความจริง: พื้นที่, ขนาด, ปีสร้าง, ค่าธรรมเนียม, ภาษี ฯลฯ

⭐Agent พูดอะไรไม่ได้พูดเล่น — พูดผิดคือหายนะ

.

.

⓳ ทักษะทางการเงินของนายหน้า

🇹🇭 ไทย: “ปิดได้คือรอด”

🔥นายหน้าหลายคนไม่ได้วางแผนภาษี วางแผนรายได้ หรือคำนวณ cost per lead

🔥ไม่รู้ว่าค่าการตลาดที่จ่ายไปทำให้ ROI เท่าไหร่

🔥การเงิน = จ่ายตามอารมณ์

.

🌍 ต่างชาติ: “นายหน้าคือเจ้าของกิจการ”

⭐คิดเป็น Financial Model: มีบัญชีรายรับรายจ่าย, ลงทุนการตลาดแบบ ROI based

⭐วางแผนภาษี, มีการหักค่าใช้จ่าย, ทำ Retirement Plan

⭐วางแผนเงินสดแบบนักลงทุน — ไม่ใช่พนักงานเงินเดือน

.

.

⓴ มุมมองต่อตัวเอง:

🇹🇭 ไทย: “ฉันคือคนกลาง”

🔥หลายคนไม่กล้าเก็บค่าบริการเพิ่ม ไม่กล้า present ตัวเองในฐานะมืออาชีพ

🔥กลัวว่าแพง กลัวลูกค้าไม่ใช้ กลัวเจ้าของด่า

.

🌍 ต่างชาติ: “ฉันคือ Asset Manager / Consultant”

⭐มองตัวเองว่าเป็นที่ปรึกษาที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์และลูกค้าได้

⭐บางรายคิด Service Fee แยกจาก Commission ด้วยซ้ำ เช่น ค่าการตลาด, ค่าขึ้นระบบ, ค่าถ่ายภาพ

.

.

㉑การปรับตัวรับเทคโนโลยี

🇹🇭 ไทย: “ใช้ได้ แต่ไม่ใช้”

🔥หลายคนรู้จัก PropTech, AI, ระบบ CRM, Automation แต่ไม่ใช้

🔥ยังโพสต์ขายด้วยมือถือ – ไม่มีระบบติดตามลูกค้าแบบ CRM

🔥ไม่ใช้ Data Analytics ในการวางราคาหรือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า

.

🌍 ต่างชาติ: “Tech is a Standard”

⭐ใช้ Chatbot, AI Valuation, Virtual Staging, Matterport Tour

⭐ระบบ MLS มี Plugin AI ที่เป็นอัลกอริทึ่มช่วยแนะนำทรัพย์แบบ (You may also like…)

⭐ปรับตัวเร็วกว่า เพราะรู้ว่าเทคโนโลยีคือส่วนหนึ่งของการแข่งขัน

.

.

㉒.Mindset ที่น่ากลัวที่สุด:

🇹🇭 ไทย: “ทำไปก่อน เดี๋ยวก็ผ่านไป”

🌍 ต่างชาติ: “ต้องทำให้ดี เพราะลูกค้าคือทุน”

.

.

ดังนั้นจุดที่เป็นปัญหาหลัก

เรียกว่าเป็นกระดุมเม็ดแรกเลย

ที่ทำให้เป็นปัญหากันตั้งแต่แรก

.

นั่นคือการที่ไม่มีกฎหมาย

บังคับให้สอบก่อนเป็นนายหน้า

ปัจจุบันยังไม่มี พระราชบัญญัติ ที่กำหนดให้

“การเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์”

ต้องสอบหรือได้รับใบอนุญาตก่อน

.

ดังนั้นการสอบหรือไม่สอบ

จึงไม่ใช่ประเด็นหลัก

เพราะตอนนี้ไม่มีฎหมายบังคับ

.

ใครก็เป็นได้

ขอแค่มีทรัพย์หรือมีลูกค้า

มี Facebook หรือ LINE

ก็เริ่มต้นได้ทันที

.

การอบรมที่มีอยู่

มักเป็นการอบรมโดยเอกชนหรือสมาคม เช่น

✅สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย (TREBA)

✅สมาคมอสังหาริมทรัพย์แห่งประเทศไทย (REBA)

✅สถาบันฝึกอบรมภาคเอกชน เช่น AREA, KP, D-Land, Propnex Thailand

.

🎓 มีคอร์สอบรม แต่ไม่บังคับ

✅หลายสถาบันมีหลักสูตรอบรม 1–5 วัน จบแล้วได้ใบประกาศนียบัตรเท่านั้น

✅ใบนี้ใช้ “เพิ่มความน่าเชื่อถือ” กับเจ้าของบ้านหรือบริษัทอสังหา

#แต่ไม่ใช่ใบอนุญาตจากรัฐ

✅ไม่มีระบบสอบกลาง ไม่มีข้อสอบมาตรฐาน ไม่มีการวัดจริยธรรมแบบที่เป็นระบบ

.

แตกต่างจากต่างประเทศ

การสอบนายหน้า คือคอขวดสำคัญของระบบ

ที่อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา สิงคโปร์

และอีกหลายประเทศ

การสอบบรรจุเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์

#คือข้อบังคับตามกฎหมาย

.

🇺🇸 สหรัฐอเมริกา:

ต้องผ่าน 3 ขั้นตอนหลัก:

1.Pre-licensing Course

✅เรียน 60–180 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับรัฐ)

✅เรียนเรื่องกฎหมายอสังหา, สัญญา, การเงิน, จรรยาบรรณ, สิทธิในที่ดิน ฯลฯ

2.สอบข้อเขียน (Real Estate Exam)

✅แยกเป็น 2 Part: National law กับ State-specific law

✅ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ มีเกณฑ์ผ่านชัดเจน (เช่น ต้องได้เกิน 70%)

3.สมัครขอใบอนุญาต (License Application)

✅ต้องมี background check

✅ต้องระบุว่าอยู่ภายใต้บริษัทใด (Broker Sponsorship)

🎓 ต้องเรียนต่อเนื่อง (Continuing Education)

✅ทุก 1–2 ปี ต้องเรียนวิชาต่อเนื่อง (CE) เพื่อรักษาใบอนุญาต

✅ถ้าไม่เรียนหรือไม่ยื่นเอกสาร — License จะหมดอายุหรือถูกเพิกถอน

.

🇸🇬 สิงคโปร์:

ต้องสอบผ่าน CEA (Council for Estate Agencies)

1.อบรม REA / RES Course (Real Estate Salesperson)

✅เรียน 6–8 สัปดาห์

✅ผ่านการรับรองโดย CEA

2.สอบวัดผล

✅สอบภาคทฤษฎี: กฎหมาย, การขาย, การเช่า, การจัดการอสังหา

✅ถ้าสอบตก ต้องรอสอบรอบถัดไป (ปีละ 2–3 ครั้งเท่านั้น)

3.ลงทะเบียนภายใต้บริษัทนายหน้า (Estate Agency)

✅ทุกคนต้องมีสังกัด ห้ามทำงานอิสระ

✅บริษัทต้องมี Broker-in-charge ที่คอยรับผิดชอบ

.

🇦🇺 ออสเตรเลีย:

ต้องมี License จากรัฐ (ไม่ใช่ระดับประเทศ)

ตัวอย่างเช่นใน NSW (New South Wales)

✅ต้องเรียนหลักสูตร “Certificate IV in Real Estate Practice”

✅ต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม

✅ต้องมีการฝึกงานหรือทำงานภายใต้ผู้มี License ก่อนจะสอบเป็น Agent เต็มตัว

.

มีหน่วยงานกำกับเฉพาะรัฐ เช่น:

✅NSW Fair Trading

✅Consumer Affairs Victoria

✅Real Estate Institute of Queensland

.

.

ถ้าจะรื้อพรมเพื่อเปิดดูปัญหากันอย่างจริงจัง

ระบบไทยเปิดเสรีสูงเกินไป

จนขาดมาตรฐานกลาง

ส่งผลให้เกิดปัญหานายหน้าเถื่อน

โกงเงินจอง หลอกขายทรัพย์ไม่จริง ฯลฯ

.

ระบบต่างประเทศเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ

กำหนด “Barrier of Entry” ให้สูง

เพื่อให้คนที่เข้าสู่ระบบมีความรู้ ความรับผิดชอบ

และมีหลักฐานตรวจสอบได้

.

หากไทยจะยกระดับนายหน้าให้เป็น "วิชาชีพ" จริง

จำเป็นต้องผลักดัน พ.ร.บ.นายหน้าอสังหาริมทรัพย์

+ สร้างระบบสอบกลาง

+ ควบคุมจรรยาบรรณแบบ enforce ได้จริง

.

หากนายหน้าไทยไม่ปรับตัว

ไม่สร้างแบรนด์ ไม่พัฒนาทักษะ

โลกนี้ไม่ได้ใจดีพอจะรอเราไปถึงจุดนั้น

"ในโลกที่นายหน้าไทยยังพึ่งดวง... นายหน้าต่างชาติพึ่งระบบ"

.

ถ้านายหน้าไทยยังไม่เร่ง "สร้างระบบ"

ก็ต้องเตรียมตัว "กลายเป็นแรงงานฟรีแลนซ์"

ที่ไม่มีที่ยืนในอุตสาหกรรม

และกำลังถูก disrupt

.

ในวันที่ PropTech ต่างชาติกำลังรุกตลาดไทย

คนที่ไม่มีระบบ ไม่มีแบรนด์ ไม่มีความรู้

จะถูกแทนที่เร็วขึ้นกว่าที่คิด

.

อีก 5 ปี เอเจ้นท์ที่ไม่มีระบบในการทำงาน

จะเริ่มมีตลาดที่เล็กลง

ช่วงนั้นเอเจ้นท์ตลาดกลาง

จะเข้ามาเบียดเล่นสนามเดียวกับตลาดล่าง

และอีก 10 ปี

เอเจ้นท์ตัวเล็กๆ

อาจจะไม่มีที่ยืนในสนาม

ก็เป็นได้

.

ร่วมพูดคุยกันได้ที่

https://www.facebook.com/Ex.MatchingProperty/posts/pfbid02zeUksBPBLNwVBobTgeb1eBceQvx6sMt4zRBUdff7T4z8rtWZdS24PYSsVspVNvPol

บทความที่เกี่ยวข้อง (3)