WeChat ID :
นิทานอสังหา EP.9 กับดักชีวิตนายหน้า
ภาพลักษณ์หรือภาพลวง
.
เวลาคนทั่วไปเห็นเอเจ้นท์อสังหาฯ บน facebook
หน้าแน่น ผมเป๊ะ การแต่งกายสุดปัง
รองเท้าคัชชูขัดเงาจนแทบเป็นกระจกส่องหน้า
ขับ BMW ไปยืนหน้าบ้านหลัก 10 ล้าน
เซลฟี่กับกับเจ้าของบ้าน
แล้วลงแคปชั่น…
“วันนี้มาปิดดิลกันนะครับ owner”
.
เปิดมาแบบนี้
โอ้โห…ใครมันจะไม่อยากทำอาชีพนี้วะ
คนก็คิดกัน…เออเนอะ
งานง่าย เงินดี แต่งตัวสวยๆ
ถ่ายรูปลงโซเชียลแล้วก็รอค่าคอมเข้าบัญชี
.
แต่พวกคุณรู้มั้ย เบื้องหลังคืออะไร?
ความจริงคือ…
ก่อนจะได้ยืนถ่ายรูปหน้าบ้านนะ
กูนั่งกินข้าวเหนียวหมูฝอยในรถ
เพราะไม่มีเวลาลงไปนั่งกินที่ร้าน
แก้วสตาร์บัคสีทองแวววาว
ข้างในคือกาแฟกระป๋องเบอร์ดี้ 12 บาท
แช่น้ำแข็งจนจืดเป็นน้ำล้างเท้า
.
สูทนี่รีดเอง ซักเอง ตากเอง
เพราะร้านซักรีดคิด 60 บาท
(60 บาทนี่ได้กาแฟเบอร์ดี้ 5 กระป๋องเลยนะมึง)
.
รองเท้าเงาๆ นี่ก็ไม่ได้ขัดอะไรหรอก
เดินไปลุยสวนหลังสวนแล้วดินมันเลอะรองเท้า
เลยเอาทิชชู่เปียกเช็ด มันเลยเงาไง
แต่เวลาโพสต์ลง คนก็คิดว่า
“เฮ้ย! งานอะไรดูสบายดีจัง”
.
แล้วรถยุโรปในรูป… อย่าเข้าใจผิด
บางทีมันไม่ใช่รถเรา
ตอนกูไปเปิดบ้าน
กูขับ Honda City 2014 ที่ขาดส่งประกันมา 2 ปี
ไปจอดหลบข้าง ๆ
.
ลูกค้าขับ BMW มาจอดตรงหน้าบ้านพอดี
เฮ้ย!!! รถสวยหว่ะ ขอยืนพิงเป็น prop แปบ
โพสต์เสร็จ เพื่อนๆคอมเมนต์ “ชีวิตดีจังมึง”
ดี…แต่กูผ่อนรถคันนี้ไม่ไหวหรอก
.
เวลานัดลูกค้าที่ร้านกาแฟหรู ๆ แก้วละร้อยกว่า
ในใจกูอยากกินโอเลี้ยงข้างถนนแก้ว 20 บาท
ไม่ต้องมีฟองนมก็ได้
ขอไข่ลวก 2 ฟองก็พอ
เซ็นสัญญาเสร็จแล้ว
จะได้มีแรงไปงานอื่นต่อ
.
แต่กลัวลูกค้าเจอ
แล้วความเชื่อถือหาย
นั่งคุยกันเรื่องบ้าน 10 ล้าน 100ล้าน
ในร้านคาเฟ่หรู
.
ในใจคิดอย่างเดียว
“พี่อย่าสั่งของแพงนะ กูเลี้ยงไม่ไหว”
แต่ปากดันพูด…
“อยากทานอะไรเพิ่มมั้ยครับ เดี๋ยวผมเลี้ยง”
ส่วนผมทานมาเรียบร้อยแล้ว
น้ำเปล่าขวดเดียวก็พอ
.
บางวันไปโครงการใหม่
น้ำส้มเย็น ๆ เสิร์ฟฟรี แอร์เย็นฉ่ำ
เพลง style bozza nova เบาๆ
เหมือนหลุดเข้าไปอยู่บน rooftop โรงแรม 5 ดาว
.
เดินจิบ ๆ น้ำไป ยิ้มไป
คุยกับคนนั้นที คนนี้ที
หน้าตากึ่มๆ เมาดิบไปเรื่อย
เหมือนเป็นเศรษฐีเดินดู project 1,000 ล้าน
แต่พอออกมานอกโครงการ…
นั่งโทรหาลูกค้าเก่า
“คุณลูกค้าครับ พอดีผมเพิ่งได้ข้อมูลโครงการใหม่ สนใจจะนัดดูบ้านมั้ยครับ”
.
ภาพลักษณ์มันพาไปไกล
แต่ยอดตัวเลขในบัญชี…นิ่งสนิทเหมือนภาพภาพ
.
เพื่อนในเฟซก็ทัก “โห ชีวิตดี๊ดี อยากทำงานแบบมึงเลย”
มึงอยากทำเหรอ...มาซิ
เดือนนี้กูยังไม่มีเงินค่าน้ำมันรถเลย
แต่ก็ไม่พูดออกไป
เพราะไม่อยากให้ใครรู้
ว่าหลังบ้านเรามันไม่ได้สวยเหมือนหน้าเพจ
.
กับดักนายหน้าที่โหดสุด
คือการต้องดูดีตลอดเวลา
บางทีกระเป๋าสตางค์บางจนลมพัดปลิว
แต่หน้าต้องแน่น ชุดต้องแพง
.
เพราะลูกค้าซื้อบ้าน
เขาซื้อความมั่นใจด้วย
เราเลยต้องเล่นบทนี้ให้เนียนที่สุด
แม้บางคืนจะกลับไปนั่งซดมาม่าแล้วคิดว่า
“เดือนนี้กูจะได้ปิดดีลได้มั้ยวะ”
.
และความจริงอีกอย่าง…
งานนี้ไม่ใช่แค่ขายบ้านนะ
มันขายความเชื่อและความหวังด้วย
.
เวลาเราพาลูกค้าไปดูบ้าน
กูต้องทำให้เขารู้สึกว่า “นี่แหละบ้านในฝัน”
ทั้งที่ในหัวเรากำลังคิดว่า
“ขอให้เขาวางจองทีเถอะ กูต้องจ่ายค่าบัตรเครดิตแล้ว”
.
แล้วรู้มั้ยอะไรตลกที่สุด
ลูกค้าบางคนก็ถามตรง ๆ
“ทำงานเป็นนายหน้า รวยมั้ย?”
เราก็ต้องตอบแบบยิ้ม ๆ “ก็พออยู่ได้ครับ”
…ทั้งที่ในใจอยากตอบว่า
“กูต้องอยู่ให้ได้แหละ ไม่ทำแล้วจะเอาอะไรแดก”
.
ชีวิตเอเจ้นท์นี่มันเหมือนเล่นละครเวที
ที่ไม่มีวันปิดม่าน
ทุกวันคือรอบการแสดงใหม่
แต่คนดูไม่รู้ว่าข้างหลังเวที…
เราเหนื่อยขนาดไหน
.
เรายิ้มตลอดเวลา ยืนท่าดีตลอดเวลา
เดินไปที่ไหนต้องทำตัวให้มั่นใจตลอดเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่เดินสวนเรา
คือว่าที่ลูกค้าหรือเปล่า
.
ในวงการนี้นะ ถ้า Balance ชีวิตตัวเองไม่ดี
สุดท้ายอาจเหลือแค่ภาพ
.
แต่เราก็ยังทำต่อ เพราะเราเชื่อว่า…
วันหนึ่ง ภาพที่เราสร้าง
มันจะไม่ใช่แค่ภาพ jpg
แต่มันจะเป็นภาพความจริงทั้งชีวิต
.
พวกมึงเห็นแต่มุมดีๆกันมาเยอะแล้ว
เดี๋ยวกูเล่าเรื่องที่เค้าไม่พูดถึงให้ฟังสัก 3 เรื่อง
.
เรื่องโหดที่ 1 – นัดแล้วหาย
เคยนัดลูกค้าดูบ้านแถวบางนา 11 โมงเช้า
กูตื่นตั้งแต่ 6 โมง
โกนหนวด แต่งหน้า รีดสูท ขัดรองเท้า ล้างรถ
นั่งเตรียมข้อมูลอย่างดี
ไปถึงบ้านก่อนเวลาเกือบชั่วโมง
survey ในโครงการ
นั่งบิ้วตัวเองกับ Vibe ภายในบ้าน
เสมือนกูกำลังเป็นเจ้าของบ้าน
มา present เอง
.
แต่รอ…รอ…รอจนบ่ายโมง โทรไปก็ไม่รับ
สุดท้ายได้ข้อความตอนค่ำ “พอดีไม่ว่างแล้วครับ ติดประชุมด่วน”
อห.!!!! ถ้าบอกแต่เช้า
กูเอาเวลานั้นไปนอนต่อได้ 3 ตื่นเลยนะ
.
เรื่องโหดที่ 2 – ลูกค้าเทกลางฝน
อีกที นัดดูคอนโดหรูวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
วันนั้นฝนตกหนักมาก
กูก็ขับรถไปเรื่อยๆ
ทั้งๆที่น้ำท่วมครึ่งล้อ
จังหวะออกมาจากรถวิ่งเข้าตึก
สูทเปียกเหมือนเพิ่งเล่นสงกรานต์
ผมก็อุตส่าห์เซ็ตมาดิบดี
ถึงล็อบบี้ ก็โทรหาลูกค้า…
เขาบอก “ฝนตกหนักแบบนี้ไม่สะดวกออกครับ”
เฮ้ย! กูอยู่นี่แล้วเว้ย!!!!!
ฝนก็ทำกูเปียกแย่แล้ว
มึงยังเทให้กูเปียกกว่าเดิมอีก
.
เรื่องโหดที่ 3 – ดิลจบแต่ตัวเลขไม่จบ
ปิดการขายบ้านได้ ดีใจแทบร้องไห้
เพราะไฟต์มาเกือบ 3 เดือน
แต่พอถึงวันโอน
ค่าใช้จ่ายวันโอนที่แจ้งไปกลับไม่ตรง
เจ้าของเก่าไม่จ่าย…
ผู้ซื้อก็มองหน้าเราแบบ “แล้วใครจะจัดการ”
สุดท้ายต้องวิ่งเคลียร์กันวุ่นวาย
หวยตกที่ใครล่ะ
เอเจ้นท์ไงสาดดดดด!!!
ต้องเจียดค่าคอมส่วนนึงไปเป็นค่าโอน
ที่คิดว่าจะได้เท่านั้นเท่านี้…
สุดท้ายแล้วแทบไม่เหลืออะไร
.
สุดท้ายแล้ว…อาชีพเอเจ้นท์
มันไม่ใช่อาชีพที่หรูเหมือนใน social
มันคืออาชีพที่ต้องแสดงความพร้อม
แม้ข้างในจะโคตรไม่พร้อม
มันคือการยิ้ม
ทั้งที่เมื่อกี้เพิ่งโดนเท
มันคือการแต่งเต็ม
ทั้งที่กระเป๋าสตางค์เหลือร้อยเดียว
.
เราทำเพราะเราเชื่อว่า…
ถ้าเราทำให้ลูกค้าเชื่อว่าเขาจะได้บ้านในฝัน
วันหนึ่งเราก็จะได้ชีวิตในฝันเหมือนกัน
.
แต่ระหว่างทาง…ก็อย่าลืมดูแลตัวเอง
อย่าทำให้ภาพลักษณ์ติดแกรม
จนชีวิตจริงต้องติดลบ
เพราะภาพมันสำคัญก็จริง
แต่ชีวิตจริงสำคัญกว่า
.
ถ้าคุณเห็นเอเจ้นท์โพสต์รูป
กับ BMW หน้าบ้านหรู 10 ล้าน
อย่าเพิ่งคิดว่าเขารวย…อาจจะเป็นรถลูกค้าก็ได้
หรือไม่ก็…รถจอดข้างบ้านแล้วเผลอเดินไปพิง
แค่นั้นแหละ
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่