WeChat ID :
ผมชวนคุณเริ่มด้วยประโยคเก่าที่ได้ยินกันมานาน
“อสังหาฯมีแต่ราคาขึ้น”
“ราคาที่ดินไม่เคยโกหก”
ฟังดูหนักแน่นเหมือนหินก้อนใหญ่
แต่พอจับลงตาชั่งจริง ๆ กลับพบว่า
มันหนักด้าน"ความเชื่อ"มากกว่า"ด้านเหตุผล"
.
โลกของอสังหาฯ
ราคาไม่ได้วิ่งเป็นเส้นตรงขึ้นฟ้า
มันวิ่งเป็นเส้นซิกแซก
.
ช่วงหนึ่งแรง ช่วงหนึ่งเฉื่อย
และบางช่วงก็ไหลกลับลงเนิน
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้ “การถือ” เป็นเรื่องผิด
เพียงแต่ทำให้เราต้องถือให้ “เป็น”
มากกว่าเชื่อให้ “สุด”
.
เวลาคนในวงการพูดว่า
“ราคาอสังหาฯถือไว้มีแต่ราคาขึ้น”
มักมาจากความทรงจำของช่วงขาขึ้น
.
สถานีรถไฟฟ้าเปิดใหม่ย่านหนึ่ง
ถูกปักหมุดเป็นแหล่งงาน-แหล่งเงิน
คนแห่ซื้ออสังหาฯ
แล้วราคาขยับเป็นขั้นบันได
ใครผ่านช่วงนั้นมาก็รู้สึกว่า
“ปกติ” มันจะขึ้นไปเรื่อย ๆ
.
นี่แหละคืออคติแบบคัดเลือกความทรงจำ (survivorship bias)
เราจำแต่ผู้รอดและโครงการเด่น
ลืมคอนโดที่ขายไม่ออกหลายปี
ลืมตึกแถวที่ติดอยู่กับผังเมือง
และพื้นที่ที่งานไหลออก
.
ขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ทุกที่ ทุกเวลา และทุกประเภท
.
ระยะยาวถ้าพูดถึง “ที่ดินศักยภาพสูง” ในเมืองใหญ่
เส้นกราฟโดยรวมมักชันขึ้นจาก 4 แรงหลัก คือ
1.เงินเฟ้อและต้นทุนก่อสร้างที่ไม่เคยลด
2.ที่ดินใหม่สร้างไม่ได้อีกแล้ว
3.โครงสร้างพื้นฐานที่ขยายศูนย์กลางเศรษฐกิจ และ
4.รายได้ของผู้คนในบางอาชีพที่ย้ายเข้ามากระจุกตัว
.
แต่กราฟเดียวกันนี้มีช่วงฟันปลา
ดอกเบี้ยขึ้น นโยบายคุมสินเชื่อออก ตลาดมือสองล้น
หรือ Demand หดจากประชากรบางกลุ่ม
สิ่งเหล่านี้ทำให้ราคา “นิ่งยาว”
หรือ “ถอยชั่วคราว” ได้เหมือนกัน
.
ถ้าดูกราฟภาพใหญ่ของที่ดินในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่
เส้นมันชันขึ้นจริงในระยะยาว
เพราะที่ดินใหม่สร้างไม่ได้
เงินเฟ้อทำให้ต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น
โครงสร้างพื้นฐานขยาย
และเศรษฐกิจดึงคนเข้ามาอยู่ในเมือง
แต่ในรายละเอียด เส้นกราฟเต็มไปด้วย “คลื่น”
.
บางปีราคากระโดดจากข่าวรถไฟฟ้า
บางปีนิ่งสนิทเพราะซัพพลายคอนโดล้น
บางปีราคาถอยเพราะดอกเบี้ยสูงจนคนกู้ไม่ไหว
.
ดังนั้นใครที่บอกว่าถือไว้ยังไงก็ขึ้น
เขาอาจพูดจากมุมมอง 20–30 ปี
แต่ถ้าคุณถือ 5–7 ปีในทำเลผิด
คุณอาจเจอแค่ความเงียบ
.
.
#อะไรคือแรงส่ง “ขึ้น”?
แรงส่งที่แท้จริง ไม่ใช่ความหวัง
1.ความขาดแคลนแท้จริง
Supply ถูก “จำกัดโดยธรรมชาติ”
เช่น โซนที่สร้างสูงไม่ได้
แหล่งงานชั้นนำที่ขยายยาก
ทำให้มูลค่าเพิ่มจากการใช้ประโยชน์ (highest and best use)
ดันราคาที่ดินมากกว่าค่าเฉลี่ย
.
2.ต้นทุนทดแทน (replacement cost)
ถ้าราคาระดับ Resale ต่ำกว่าต้นทุนสร้างโครงการใหม่
เวลาจะเป็นเพื่อนเรา
เพราะผู้พัฒนาไม่เปิด Supply ใหม่
จนกว่าราคา Resale จะไล่ทัน
.
3.โครงสร้างพื้นฐานที่ “เกิดจริง”
สถานีรถไฟฟ้าเปิดใช้จริง
ทางด่วนตัดเสร็จ
โรงพยาบาล/มหาวิทยาลัยระดับเรือธงเกิดขึ้น
ผลัก Demand คนคุณภาพเข้ามาอยู่และทำงาน
ไม่ใช่แค่ข่าวลือบน internet
.
4.งานและรายได้ที่โตในพื้นที่
ที่อยู่อาศัยตามคน เงินเดือน และธุรกิจ
ไม่ใช่ตามคำโปรยหน้า billboard
.
.
#อะไรคือแรงดึง “ไม่ขึ้น”—หรือ “ถอย”?
1.ความอิ่มตัวของอุปทานเฉพาะจุด
คอนโด Micro Location ที่หนาแน่นเกินไป
ห้องปล่อยเช่าชนกันเอง
ทำให้ yield บางลง
ผู้ซื้อเพื่ออยู่จริงเลือกได้มากขึ้น
ราคาภาพรวมเลยนิ่งยาว
.
2.ดอกเบี้ยและเกณฑ์กู้
ต้นทุนเงินทุนสูงขึ้นลดกำลังซื้อจริง
แม้ชื่อโครงการจะดังแค่ไหน
.
3.นโยบายภาษีและกฎระเบียบ
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, ค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง,
ข้อกำหนดผังเมือง
สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนสมการผลตอบแทน
.
4.ความเสื่อมของสินค้า (product risk)
ห้องเล็กพิเศษรุ่นหนึ่งเคยขายดี
เพราะกระแสยุคหนึ่ง แต่ตกยุคเร็ว
ระบบอาคาร ซาวน่า สระ วิว และที่จอดรถ
กลายเป็น “ต้นทุน” แทน “มูลค่า”
.
5.ประชากรและพฤติกรรม
เมืองที่แหล่งงานเคลื่อน
ย่านที่วัยทำงานย้ายออก
หรือรูปแบบการทำงานยืดหยุ่นมากขึ้น
ก็ Reset Demand และราคาได้
.
.
“ถืออะไร” ก็สำคัญพอ ๆ กับ “ถือเมื่อไหร่”
.
1.ที่ดินเปล่าในย่านงานหนาแน่น
มักโตด้วย “มูลค่าใช้ประโยชน์ในอนาคต”
มากกว่าที่อยู่อาศัย
แต่ต้องรับความผันผวนจากผังเมืองและรอจังหวะนาน
.
2.แนวราบคุณภาพในย่านโรงเรียน/โรงพยาบาล/แหล่งงาน
มีฐานผู้ซื้อเพื่ออยู่จริง ทำให้ราคาทนแรงกว่าช่วงผันผวน
.
3.คอนโดใน Micro Location ที่มีตัวตนชัด
ใกล้สถานีที่ใช้งานจริง
ใจกลางงาน-ร้าน-ไลฟ์สไตล์
และมีที่จอดรถเพียงพอ
สิ่งเหล่านี้กันเสื่อมราคาได้ดีกว่า “ติดสถานีแต่ไม่มีงาน”
.
4.สินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดจริง
เช่น โกดัง/ออฟฟิศย่อย/ shophouse ในโซนที่ธุรกิจโต
ราคาไปกับค่าเช่าที่ขึ้นได้ตามรายได้ผู้เช่า
.
.
เพราะมีต้นทุนการ “ถือ”
.
การถือยาวไม่ใช่ฟรี
เราต้องจ่ายด้วยดอกเบี้ย
โอกาสที่ไม่ได้ลงทุนอย่างอื่น
ภาษีที่ดินฯ ค่าส่วนกลาง การซ่อมบำรุง และเวลาที่ใช้บริหาร
.
ถ้าราคานิ่ง 5–7 ปี
ในขณะที่เราจ่ายต้นทุนการถือทุกเดือน
ผลตอบแทนสุทธิจริง
อาจต่ำกว่ากองทุนตราสารหนี้เสียอีก
.
การถือยาวจึงต้องมี “แผนกระแสเงินสด”
ไม่ใช่มีแต่ “ความหวังราคาขึ้น”
.
.
ผมขอยก 3 ตัวอย่างสั้นๆจากสนามจริง
ตัวอย่างที่ 1 : ซอยเล็กแต่หนาแน่นด้วยงาน
ที่ดินแปลงเล็กหลังซอย
ร้านกาแฟเฉลี่ยราคาแก้วละ200
บ่ายวันธรรมดายังต่อคิว
รอบ ๆ คือสำนักงาน agency และ Tech-Startup
ข้อจำกัดความสูงอาคาร
ทำให้พื้นที่ใช้ประโยชน์พุ่ง
มูลค่าที่ดินขยับตามค่าเช่าร้านที่เพดานสูงขึ้นทุกปี
นี่คือ “ขึ้นเพราะใช้ประโยชน์ได้สูงกว่าเดิมจริง”
.
ตัวอย่างที่ 2 : คอนโดตามกระแสในยุคเปิดสถานีรถไฟ
เปิดขายด้วยโปรโมชันจัดเต็ม
ห้องตัวอย่างสวยมาก
ซื้อเพราะกลัวตกรถไฟ
พอสร้างเสร็จทั้งย่านมี supply หลาย 1,000 ยูนิต
ปล่อยเช่าแข่งกันจน yield บาง
โครงการใหม่ ๆ ถัดไปอัดส่วนกลางหนักกว่าเดิม
ทำให้ Resale รุ่นแรก ๆ
ต้องยอมขายเท่าทุนหรือขาดทุนเล็กน้อย
นี่คือ “ภาวะนิ่งยาว” ไม่ใช่ “ขึ้นเรื่อย ๆ”
.
ตัวอย่างที่ 3 : ทาวน์โฮมเก่าแต่ปรับเปลี่ยนได้
โซนที่มีโรงเรียนดังกับคลินิกเฉพาะทาง
เจ้าของซื้อทาวน์โฮมเก่า
Renovate แปลนเป็น Home Office
เทคค่าเช่าใหม่จากธุรกิจที่ต้องการLocation
ไม่ใช่จากผู้เช่าที่อยู่อาศัยอย่างเดียว
มูลค่า Resale ขึ้นตามค่าเช่าที่พิสูจน์ได้
นี่คือ “ขึ้นเพราะทำให้มันขึ้น”
.
#ลงมือถือให้เป็น : กรอบคิดสำหรับมืออาชีพ
เริ่มที่ “เศรษฐศาสตร์เล็ก ๆ ของย่าน”
มากกว่า “สโลแกนใหญ่ของเมือง”
ชี้นิ้วจิ้มลง Micro Location ถาม 5 เรื่องแบบตรงไปตรงมา
งานมาจากไหน
ใครจ่ายเงินค่าเช่าเราได้จริง
ซัพพลายใหม่เข้าได้อีกเท่าไร
โครงสร้างพื้นฐานไหน “จะเปิดเมื่อไหร่และเปิดจริงไหม”
และสินทรัพย์แบบที่เราจะถือ “จะตกยุคเร็วหรือช้า”
.
จากนั้นเทียบราคารีเซลกับต้นทุนทดแทน
ถ้าซื้อสูงกว่าทดแทนโดยไม่มีเหตุผลเรื่อง
คุณภาพ/แบรนด์/เวลาที่ได้คืน
เรากำลังจ่าย “ภาษีความเชื่อ” มากกว่า “ราคาตลาด”
.
อย่าลืมว่าส่วนต่างผลตอบแทนของอสังหาฯ
มาจาก 4 ช่องทาง:
กระแสเงินสดสุทธิ,
การเพิ่มขึ้นของราคา,
การลดหนี้ต้น และ
การเพิ่มมูลค่าจากการปรับปรุง
.
เวลาใครพูดว่า “ถือไว้ เดี๋ยวก็ขึ้น”
ให้ถามกลับว่า “ขึ้นช่องไหน และขึ้นเพราะอะไร”
ถ้าไม่มีคำตอบที่ตรวจสอบได้
แปลว่านั่นคือความหวัง ไม่ใช่แผนการลงทุน
.
.
#สัญญาณที่ควรเช็กก่อนตัดสินใจถือยาว
ห้ามพึ่งดวง ให้พึ่งข้อมูลที่จับต้องได้
อัตราว่างเช่าในย่าน
ระยะเวลาประกาศขายเฉลี่ยของสินทรัพย์คล้ายกัน
ส่วนลดที่เกิดขึ้นจริงหน้าห้องโอน
อัตราการขึ้นค่าจ้างในอุตสาหกรรมที่เป็นฐานผู้เช่า
งบและ Timeline โครงสร้างพื้นฐาน ที่ “ลงนามแล้ว”
ไม่ใช่ข่าวเล่าต่อกัน
.
ปิดท้ายด้วย stress test ง่าย ๆ
ดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1–2% เรายังถือไหวไหม
ถ้าคำตอบคือ “หวังให้ไม่ขึ้นดอก”
นั่นไม่ใช่การลงทุน นั่นคือการภาวนา
.
กลับมาที่คำถามเปิดหัวเรื่อง
“ถือไว้มีแต่ราคาขึ้น” สรุปว่าอย่างไร?
ขอใช้คำตอบสั้นๆตามข้อมูลที่มี
.
สินทรัพย์ถูกชนิด ถูกที่ ถูกเวลา
ที่มีความขาดแคลนแท้จริง
และถูกหนุนด้วยกิจกรรมเศรษฐกิจที่
โต “จริง” ไม่ใช่โตในสไลด์
.
สินทรัพย์ผิดชนิด ผิดจังหวะ ผิดราคา
ต่อให้ Location ดีในระดับเมือง
แต่ถ้า Micro Location อิ่มตัว
หรือผลิตภัณฑ์ตกยุคเร็ว
ราคาอาจนิ่งยาว
จนต้นทุนการถือแซงผลตอบแทน
.
ผมในฐานะเอเจ้นท์, นักลงทุน, ผู้ลงสนามทุกวัน
เราไม่ได้ถูกบังคับให้เชื่อกระแสใดๆ
เราถูกบังคับให้บริหารความจริง
เลือกสินทรัพย์ที่ “ให้ตัวเลขทำงาน”
มากกว่าปล่อยให้ story ทำงานแทนตัวเลข
.
ซื้อด้วยเหตุผล
ถือด้วยกระแสเงินสด
ปรับด้วยคุณค่าใช้งาน
และขายด้วยวินัย
แล้วคุณจะพบว่า “การขึ้นของราคาอสังหา”
เป็นผลพลอยได้จากระบบคิด
ไม่ใช่ของขวัญจากเวลา
.
ถ้าถือเพื่อหวังขึ้น : คุณต้องเลือก “ของที่เวลาอยู่ข้างเรา”
ถ้าถือเพื่อสร้างผลตอบแทน : คุณต้องทำให้ “เวลามีงานทำ”
ทั้งค่าเช่า การลดหนี้ และการเพิ่มมูลค่า
.
เมื่อคุณถือเป็น
ราคาจะขึ้น “เพราะเหตุผล”
ไม่ใช่ “เพราะคำปลอบใจ”
และนั่นต่างหาก
คือวิธีถืออสังหาฯ แบบมืออาชีพจริง ๆ
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่