WeChat ID :
นิทานอสังหา EP.8 เลขที่ไม่มีใครอยากได้
กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสุข
.
บนถนนเส้นหลักของเมืองที่กำลังเติบโต
มีบ้านหลังหนึ่งยืนเงียบอยู่ใต้ร่มเงาต้นลีลาวดีใหญ่
ดอกสีขาวนวลร่วงโรยลงบนสนามหญ้า
ที่เริ่มสูงกว่าระดับข้อเท้า
สีของกำแพงซีดลง
จนดูเหมือนภาพถ่ายเก่าในอัลบั้ม
เจ้าของบ้านคือ “ป้ารำไพ”
อดีตครูใหญ่โรงเรียนมัธยมในย่านนี้
.
เมื่อ 3 ปีก่อน
ป้ารำไพตัดสินใจย้ายไปอยู่กับลูกชายที่เชียงใหม่
บ้านจึงถูกปล่อยว่าง
แรกเริ่ม เธอลองขายผ่านเพื่อนบ้าน
ที่รู้จักนายหน้าเก่า ๆ ในละแวก
แต่ก็ไม่มีใครปิดดีลได้
.
ทุกครั้งที่มีคนมาดูบ้าน
พอหันไปเห็นบางอย่าง
ก็มีเพียงรอยยิ้มเก้อ ๆ และคำว่า
“สวยนะคะ แต่… เดี๋ยวขอกลับไปคิดก่อน”
.
เวลาผ่านไป
จากราคาที่ตั้งสูงเพื่อเผื่อการต่อรอง
ก็ลดลงมาทีละนิด
จากบ้านที่เคยถูกจัดสวนอย่างประณีต
กลายเป็นบ้านที่ใบไม้แห้งเริ่มทับถมตรงมุมกำแพง
ป้ารำไพเองก็เริ่มเหนื่อย
กับการจ่ายค่าดูแลบ้านทั้งที่ไม่ได้อยู่
.
จนวันหนึ่ง เพื่อนเก่าของป้ารำไพที่
เป็นหัวหน้าชมรมครูเกษียณ
ได้ไปงานสังสรรค์
และบังเอิญนั่งโต๊ะเดียวกับ “คุณสมชาย”
อดีตลูกค้าของนิว
.
คุณสมชายเล่าให้ฟังว่า
เพิ่งขายบ้านเก่าในย่านฝั่งธน
ได้ในเวลาไม่ถึง 2 เดือน
เพราะนิวมีวิธีทำตลาดที่ “ไม่เหมือนคนอื่น”
เพื่อนป้ารำไพได้ยินก็เอ่ยปากว่า
“งั้นช่วยแนะนำให้หน่อยสิ บ้านฉันติดขายมา 3 ปีแล้ว”
.
ไม่กี่วันต่อมา โทรศัพท์ของนิวดังขึ้น
เสียงหญิงสูงวัยปลายสายพูดอย่างสุภาพ
แต่แฝงด้วยความหวังเล็ก ๆ
“น้องนิวใช่มั้ยคะ…
พี่มีบ้านอยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้ห้าง ใกล้รถไฟฟ้า
แต่ติดนิดเดียว…เลขที่บ้านคือ 13”
.
นิวฟังเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง
ในหัวไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหา แต่กลับคิดว่า…
“นี่อาจเป็นเรื่องราวใหม่ที่รอให้คนมาเล่า”
.
บ้านเดี่ยว 2 ชั้น
สีขาวที่หม่นลงตามกาลเวลา
หลังคากระเบื้องสีเทาเข้มมีคราบฝนซึมเป็นลาย
รั้วเหล็กสีดำยังแข็งแรง
แต่สีเริ่มซีดตรงขอบที่แสงแดดกระทบทุกเช้า
.
หน้าบ้านมีต้นลีลาวดี 2 ต้น
ยืนเฝ้ากันอยู่สองฟากประตู
ดอกสีขาวนวลโรยลงพื้น
เหมือนใครโรยผงแป้งไว้บางๆ
สนามหญ้าถูกตัดไม่สม่ำเสมอ
บางมุมยังมีวัชพืชเลื้อยปนอยู่
.
เมื่อนิวก้าวพ้นรั้วเข้ามา
กลิ่นไม้เก่าและความชื้น
ต้อนรับเหมือนเพื่อนเก่า
พื้นปาเก้ขัดมันเริ่มมีรอยแตกเล็กๆ จากการหดตัว
.
แสงเช้าลอดผ่านบานหน้าต่างไม้บานใหญ่
ตรงห้องรับแขก ตกลงบนโซฟาผ้าลายทาง
ที่ซีดไปตามเวลา
ครัวอยู่ด้านหลัง เป็นครัวปูนเก่าแต่สะอาด
บันไดไม้ขึ้นไปชั้นสองส่งเสียงเอี๊ยดเมื่อเหยียบ
.
บ้านหลังนี้เคยมีครอบครัวใหญ่
แต่พอพี่น้องแยกย้ายกันออกไป
เหลือเพียงเจ้าของวัยเกษียณที่ย้ายไปอยู่กับลูกชาย
บ้านจึงว่างอยู่เกือบ 5 ปี ก่อนจะถูกประกาศขาย
.
นิวนายหน้ามือเก๋า
เริ่มลงพื้นที่ สำรวจสภาพ ทำภาพถ่าย
และค้นข้อมูลตลาดรอบๆ
.
ที่ดินย่านนี้ ราคากำลังไต่ขึ้นทุกปี
แต่ปัญหาคือความเชื่อ
ที่ฝังหัวของคนส่วนใหญ่ในละแวกนี้
ใครก็ตามที่มาดูบ้าน
จะเหลือบตาไปมองป้ายเลขแล้วเงียบลงทันที
บางคนบอกตรงๆ ว่า “สวยนะ แต่… เลขบ้านมันไม่ดี”
.
ราคาก็ปรับลงมาจากตอนแรกพอสมควร
แต่ก็ยังไม่มีใครยอมเซ็นสัญญา
ในใจนิวรู้ดีว่า
ถ้ายังใช้วิธีเดิมๆ
บ้านนี้อาจอยู่ในตลาดไปอีกนาน
.
บ่ายวันหนึ่ง ขณะนิวกำลังแก้ภาพประกาศขาย
โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เสียงจากปลายสายบอกว่า
เป็นผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
“เห็นรูปบ้านหลังนี้จากเว็บ… สนใจขอเช่าใช้ถ่ายทำได้ไหม?”
.
พวกเขากำลังมองหาบ้านเก่าในเมือง
ที่มีบรรยากาศอบอุ่น
ที่ยังมีร่องรอยของเรื่องราวในอดีต
และบ้านหลังนี้ปรากฏอยู่ในลิสต์สถานที่ของทีมงาน
นิวเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง
.
เมื่อนิวโทรไปถามป้ารำไพเพื่อให้เปิดโอกาส
เจ้าของบ้านมีความรู้สึกลังเล
“จะดีเหรอ เลขมันแรงนะ คนดูจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า?”
นิวตอบช้าๆ ให้ทุกคำชัด
“เลขมันอยู่บนป้าย แต่เรื่องราวของหนังจะอยู่ในความทรงจำของคนดู”
.
หลังการพูดคุยและป้ารำไพตอบตกลง
นิวเริ่มให้ทีมงานเข้ามาตกแต่งบ้าน
สนามหญ้าได้รับการปูใหม่
เพิ่มแปลงดอกไม้สีสันสด
ภายในถูกจัดเฟอร์นิเจอร์เพิ่มให้ตรงตามบท
ทุกมุมถูกปัดฝุ่น ขัดไม้ และเปิดม่านรับแสงเต็มที่
กลิ่นกาแฟและอาหารที่ทำสดใหม่
จากกองถ่ายลอยคลุ้งทั่วบ้าน
เสียงหัวเราะของนักแสดงเด็ก
และเสียง “เทค!” ของผู้กำกับ
ทำให้บ้านดูมีชีวิตอีกครั้ง
.
2 อาทิตย์ของการถ่ายทำ
บ้านหลังนี้ไม่ได้ถูกมองถึงความอาถรรพณ์
ของเลขที่บ้านอีกเลย
ทุกคนเรียกมันว่า “บ้านคุณดาว” ตามชื่อในบท
.
ในเนื้อเรื่องของหนัง
บ้านถูกเล่าให้เป็นตัวแทนของความรัก
ของหนุ่มสาวคู่นึง
และเป็นศูนย์รวมของความรักในครอบครัว
ก่อนจะปิดเรื่องด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น
ที่ตัวละครในหนังมองข้ามมันไป
.
3 เดือนต่อมา หนังออกฉาย
ไม่ถึงสัปดาห์แรก
ก็ติดเทรนด์อันดับ 1 บน Platform ชื่อดัง
ฉากสนามหน้าบ้านและระเบียงชั้น2
ถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
hastage #บ้านคุณดาว
ถูกใช้นับ 10,000 ครั้ง
ผู้คนเริ่มตั้งกระทู้ถาม “บ้านคุณดาวอยู่ที่ไหน?”
ตอนนี้ไม่มีใครสนใจเลขที่บ้านอีกแล้ว
.
นิวรีบทำประกาศขายใหม่
ใช้ภาพนิ่งจากกองถ่าย
และมุมในหนังเป็นภาพหลัก
ตั้งหัวข้อว่า “เผยบ้านจริงของคุณดาว จากภาพยนตร์อันดับ 1 ในตอนนี้”
.
นิวเล่าเบื้องหลังว่า
บ้านนี้คือโลเกชันที่ผู้กำกับเลือก
เพราะ “มันมีความเป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวในตัวเอง”
นิววางคำให้คนรู้สึกว่าไม่ได้ซื้อแค่บ้าน
แต่ซื้อ “ชิ้นส่วนความทรงจำของภาพยนตร์ที่พวกเขาชื่นชอบ”
.
เลข 13 ที่คนรังเกียจ
กลับกลายเป็นเรื่องเล่าใหม่
“13 มุมสวยของบ้านหลังนี้”
“13 สิ่งที่ควรรู้ก่อนอยู่บ้านหลังนี้”
“13 ข้อดีของบ้านหลังนี้”
“13 เรื่องราวก่อนจะมาเป็นบ้านคุณดาว”
.
ผลลัพธ์เกินคาด
มีคนติดต่อเข้ามามากกว่าที่เคย
และที่น่าทึ่งกว่านั้น
คือมีนักลงทุนยื่นข้อเสนอ
สูงกว่าราคาที่เคยตั้งไว้เดิมถึง 15%
.
เพราะเขาอยากได้สิทธิ์ในการใช้ชื่อ
และเรื่องราวของบ้านนี้ต่อยอดธุรกิจ Homestay
ใน Theme ของภาพยนตร์
.
13 จากเลขอาถรรพณ์
ชื่อเปลี่ยนมาเป็น The Thirteen House
เพื่อแสดงถึงความ Limited
.
บ้านที่เคยถูกมองข้ามเพราะตัวเลข
กลับขายได้เพราะมันมี “เรื่องราว”
ที่คนอยากมีส่วนร่วม
.
สุดท้าย สัญญาขายก็เซ็นภายใน 1 เดือน
บ้านที่เคยถูกมองว่าเป็น “เลขต้องห้าม”
กลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่ “เลขต้องแย่ง”
ด้วยเรื่องราวใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น
.
บ้านที่เคยแห้งแล้งไม่มีใครอยากได้
กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง
ดังนั้นบ้านทุกหลังมีเรื่องเล่า
แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะมีโอกาสได้
.
ป้าย “For Sale” ถูกถอดออก
เหลือเพียงป้ายเล็ก ๆ
ที่เขียนว่า The Thirteen House
มันไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย
แต่คือหลักฐานว่า
ความหมายของทุกสิ่ง...เปลี่ยนได้เสมอ
.
นิวมองย้อนกลับไปที่รั้วบ้านอีกครั้ง
ก่อนเดินออกมา
เขารู้ดีว่าจากนี้ไป
บ้านหลังนี้จะไม่ใช่ “บ้านเลขที่ 13”
ของความโชคร้ายอีกต่อไป
แต่มันคือบ้านของเรื่องราวใหม่
ที่จะถูกเล่าขานในความอบอุ่นต่อไปอีกนาน
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่