WeChat ID :
นิทาน อสังหา EP.2 : ใกล้รถไฟฟ้า...แต่ไกลชีวิตที่ดี
.
กรทำงานไอที
ในบริษัทเอกชนย่านอโศก
ชีวิตกำลังไปได้ดี
เงินเดือนเริ่มขยับ
มีโบนัสปีละ 2 ครั้ง
.
เพื่อนหลายคนเริ่มทยอยซื้อบ้าน
ซื้อคอนโดกันไป
ส่วนเขายังอยู่หอพักเช่าเก่า ๆ ย่านอินทามระ
ตู้เสื้อผ้าหลังเดิม
กับแอร์ที่ต้องเคาะรีโมทก่อนเปิด
ประกอบกับตัวเองอายุ 30 กว่าแล้ว
มันทำให้เขาเริ่มถามตัวเอง
“เมื่อไหร่เราจะมีบ้านเป็นหลักปักฐานกับเขาบ้าง?”
.
แล้วคำตอบก็มาถึง
ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด
บูธหนึ่งสะดุดตาเขาเป็นพิเศษ
คอนโดเปิดใหม่ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วงปลายทาง
เดินจากสถานี 3 นาที โปรแรงสุดในรอบปี
ฟรีทุกอย่าง กู้เต็ม ผ่อนเบา ๆ เริ่ม 7,900 ต่อเดือน
.
“มีเงินเดือน 32,000 ก็กู้ได้!”
“อีก 3 ปี ราคาขึ้นแน่นอนพี่”
“ตอนนี้คือจังหวะทอง!”
.
เซลส์หน้าบูทพูดมั่นใจ
เขาหยิบแผ่นพับมาพลิกดูรูปห้อง
มองเห็นวิวตึกสูง
ตัดกับรางรถไฟฟ้าที่ทอดผ่านไกล ๆ
เงาสะท้อนของเขาในกระจก
ทำให้จินตนาการลอยไกลไปถึงวันยืนจิบกาแฟบนระเบียง
.
เขาไป survey ดูที่ทางมาวันนึง
เขาจึงตัดสินใจกลับมาวางจองทันที
ทั้งๆที่คอนโดยังสร้างไม่เสร็จดี
.
โดยที่กรคิดว่า
ถึงแม้จะห่างจากที่ทำงานไปนิด
แต่อยู่ใกล้รถไฟฟ้า
ก็น่าจะเดินทางสะดวกอยู่
.
วันโอนมาถึงเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ห้องใหม่เอี่ยม เฟอร์ครบ วิวชั้น 7 กำลังดี
เขาถ่ายรูปพวงกุญแจห้องในมือ
แล้วโพสต์บน Facebook ด้วยแคปชันว่า
“บ้านหลังแรกในชีวิต...เริ่มต้นจากศูนย์ แต่เรามาได้ถึงนี่แล้ว”
.
ยอด Like ถล่มทลาย
คอมเมนต์จากเพื่อนฝูงเต็มไปด้วยคำยินดี
แม่โทรมาบอกว่า
“ดีใจนะลูก บ้านหลังแรกของเรา”
เขารู้สึกเหมือนกลายเป็น “ผู้ใหญ่” อย่างเต็มตัว
.
ชีวิตในคอนโดใหม่ช่วงแรกเหมือนฝัน
ห้องเงียบสงบ สะอาด มีกลิ่นใหม่ของวัสดุปูพื้น
ยามหน้าตึกยิ้มแย้ม รปภ.โบกรถให้ตลอด
เพื่อนบ้านมีไม่กี่คน ทุกอย่างดูเป็นระเบียบ
.
แต่นั่นแค่สองสัปดาห์แรก
จากนั้น ความว่างเปล่า
ก็ค่อย ๆ เข้ามาโดยไม่ให้สัญญาณ
.
ร้านอาหารใกล้ที่สุดห่างออกไป 1.8 กิโล
ไม่มีตลาด ไม่มีเซเว่น ไม่มีร้านข้าวแกง
จะกินอะไรต้องขี่มอเตอร์ไซค์ออกนอกพื้นที่
หรือรอ Grab ที่มาส่งผิดตึกบ่อย ๆ
.
กรใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน
เดินทางด้วยรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วน
ยืนอัดแน่นกับคนแปลกหน้าจนไม่กล้าขยับไหล่
พอเป็นแบบนี้ทุกวัน ร่างกายเริ่มเหนื่อย
แต่ใจยังบอกว่า "อดทนไว้ นี่คือบ้านของเรา"
.
6 เดือนต่อมา กรได้ยินข่าวช็อก
บริษัทประกาศย้ายออฟฟิศจากอโศกไปบางนา
และเขาก็โดนโยกตามทีม
.
ระยะทางจากคอนโดถึงที่ทำงานใหม่
ต้องเพิ่มการเดินทางรถไฟฟ้าไปอีก 9 สถานี
การเดินทางเพิ่มไปอีกราว 15 นาที
และต้องต่อวินมอไซต์เข้าไปที่ออฟฟิสอีก
รวมเวลาเดินทางเช้า-เย็นวันละเกือบ 4 ชั่วโมง
.
เขาต้องตื่นตี 5.30 กลับถึงห้องเกือบสามทุ่ม
ค่ารถไฟฟ้าพุ่งเกือบ 3,000 ต่อเดือน
ค่าวิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง...
มื้อเย็นหลายวันกินมาม่ากับไข่ต้ม
.
เขาเริ่มหมดแรงแม้แต่จะนั่งคิดบัญชี
จนทำให้กรคิดว่า
ย้ายไปอยู่ห้องเช่าใกล้ๆที่ทำงาน
น่าจะดีกว่านี้
.
1 ปีผ่านไป
ห้องที่เคยภูมิใจ
เริ่มกลายเป็นที่พักคืนละไม่กี่ชั่วโมง
เตียงใหม่เอี่ยม
กลายเป็นแค่ที่นอน
ที่เขาไม่ได้มีเวลาใช้ชีวิตกับมัน
.
ห้องครัวที่มีไมโครเวฟใหม่เอี่ยม
ไม่มีเศษขนมปัง
ไม่มีข้าวกล่องเหลือ
มีแต่อากาศเงียบ ๆ
กับไฟหัวเตียงที่เปิดทิ้งไว้
.
กรเริ่มมีความคิดว่า...
"นี่เรากำลังอยู่ในบ้านของตัวเอง หรืออยู่ในกับดักของคำว่าเจ้าของ?"
.
ห้องคอนโดของกรยังอยู่ที่เดิม
เครื่องดูดควันยังใหม่
โซฟาก็ยังมีพลาสติกหุ้ม
แต่ตัวเขา...ย้ายไปอยู่ห้องเช่าแถวอุดมสุขเรียบร้อยแล้ว
.
ห้องเช่าเล็ก ๆ ไม่มีวิว ไม่มีความหรูหรา
แต่ใช้เวลาเดินทางไปทำงานไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
เช่าเดือนละ 5,800 รวมค่าน้ำค่าไฟ
ก็ยังถูกกว่าค่าผ่อนคอนโด
กับค่ารถไฟฟ้ารวมกันหลายเท่า
.
ทุกเช้า จากที่ต้องตื่นตี 5 ครึ่ง เป็นการตื่น 7 โมงเช้า
เดินออกไปกินข้าวต้มร้านป้าแดงหน้าปากซอย
แล้วขึ้นรถตู้ไปออฟฟิศพร้อมกาแฟถุงละ 25 บาท
ไม่ต้องเปลี่ยนรถ 3 สาย
ไม่ต้องเบียด
ไม่ต้องแย่งประตูรถไฟฟ้า
ชีวิตที่เคยหนัก
เริ่มเบาลงในความเรียบง่าย
.
แต่เขายังมีหนี้
หนี้จากคอนโดที่ไม่ค่อยอยู่
หนี้จากความฝันที่ยังไม่ตื่นดี
.
ทุกวันที่เงินเดือนเข้า
เขาต้องโอนเงินก้อนหนึ่งกลับไปยังธนาคาร
ยอดหนี้ยังเหลืออีก 1.79 ล้าน
ในขณะที่ผ่านมาสี่ปีเต็ม
เขาจ่ายดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 280,000
ต้นเงินลดไปไม่ถึงแสน
.
เขาเคยลองประกาศขายคอนโด
แต่ราคาในตลาดลดลงกว่าตอนซื้อ
คนที่มาดูก็พูดเบา ๆ
.
“วิวดีนะครับ แต่รอบข้างไม่มีร้านอะไรเลย”
“ไกลไปนิด”
“ลองลดอีกได้มั้ย?”
.
เขารู้ดีว่า “ลดอีก” หมายถึง “ขายขาดทุนหลักแสน”
แล้วถ้าไม่ขาย เขาก็ต้องผ่อนต่อ
เหมือนจ่ายค่าห้องพักให้กับคนที่ไม่มีวันกลับมา
.
เขาเคยปล่อยเช่า
ราคาต่ำกว่าผ่อนงวดแบงค์
แต่ผู้เช่าคนหนึ่งทำพื้นพอง
เพราะน้ำซึมจากห้องน้ำ
ต้องซ่อมเกือบสองหมื่น
.
จบสัญญาแล้วก็ต้องหาคนใหม่
ไม่มีใครอยู่ต่อ
ทุกครั้งที่มีคนย้ายออก
เขาต้องกลับไปล้างห้อง
จ่ายค่าส่วนกลาง ตรวจเช็คสภาพ
มันเหนื่อย
เหนื่อยกว่าอยู่ห้องเช่ามากนัก
.
คืนหนึ่ง เขากลับจากทำงาน
นั่งจิบเบียร์กระป๋องที่ระเบียงห้องเช่าซึ่งไม่มีวิว
แต่มีลมอ่อน ๆ พัดมา
อยู่ๆระบบ Facebook ก็เด้งแจ้งเตือน
โพสต์รูปกุญแจคอนโดเมื่อปีก่อน
คิดถึงคอมเมนต์ “ยินดีด้วย” “เท่จัง” “เป็นเจ้าของแล้วนะ”
.
แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
หัวเราะให้กับตัวเองในอดีต
หัวเราะให้กับคำว่า
“ภูมิใจในทรัพย์สินชิ้นแรก”
เพราะความภูมิใจนั้น…
กำลังทำให้ชีวิตเขาย่ำอยู่กับที่
.
วันนี้ กรไม่ได้เลิกเป็นเจ้าของคอนโด
ไม่ได้ปลดหนี้ ไม่ได้มีแผนมหัศจรรย์อะไร
แต่เขา “เลิกหลอกตัวเอง” แล้ว
.
เขายอมรับว่าคิดผิด
ยอมรับว่าตัดสินใจเร็วเกินไป
ยอมรับว่าเชื่อคำโฆษณา
และภาพในหัวมากเกินไป
และที่สำคัญ
เขาเริ่มพูดกับคนอื่นว่า
“ยังไม่พร้อม ก็เช่าไปก่อนเถอะ”
“ความมั่นคงไม่ได้เริ่มจากมีบ้าน แต่เริ่มจากมีชีวิตที่ควบคุมได้ต่างหาก”
.
ไม่ใช่ทุกคนที่ควรซื้อบ้านตอนอายุยังไม่ถึงสามสิบ
ไม่ใช่ทุกคอนโดติดรถไฟฟ้าจะเหมาะกับชีวิตทุกแบบ
และ
ไม่ใช่ทุกทรัพย์สินจะกลายเป็น “ทรัพย์”
บางที มันคือ “หนี้ที่เราเรียกมันมาหาเอง”
.
นิทานเรื่องนี้จบลง
ไม่ใช่เพราะกรหมดหนี้
แต่เพราะเขา “เลิกเป็นหนี้ทางใจ”
เลิกแบกความคาดหวังว่า
การมีบ้านคือการประสบความสำเร็จในชีวิต
.
บางที...
ความสำเร็จที่แท้จริง “ไม่ใช่การมีบ้าน”
อาจเริ่มจากแค่
“การมีชีวิตที่ไม่ต้องหนีออกจากบ้านตัวเอง” ก็ได้
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่