EP การเล่าเรื่องขั้นสุด ศาสตร์แห่ง Content & Caption ที่ทุกคนรอคอย

เทคนิคการเขียน การเล่า และการสื่อสารด้วยภาษาให้ทะลุกำแพงใจลูกค้า

post date  โพสต์เมื่อ 17 เม.ย. 2568   view 171048
article

EP ที่ทุกคนรอคอย

เชื่อว่านี่คือการเม้ามอย

ที่ทรงคุณค่าที่สุดเม้ามอยนึง

ตราบเท่าที่พวกคุณ

เคยตามการเม้ามอยของผมมา

.

ว่ากันด้วยเรื่องของการเขียน

Caption และ Content

ที่นำเอาศาสตร์ของศิลปะ

การเล่าเรื่องภาพยนตร์

เข้ามาเกี่ยวข้อง

กับการผลิตเนื้อหาเพื่อการตลาด

.

**WARNING : EP นี้ยาวมาก ถ้ายังไม่พร้อม อย่าอ่าน**

.

ขอเกริ่นย้อนหลังนิดนึงนะครับ

ช่วงหลังมีคนปรึกษาเรื่องของStrategic

และการคิด content เยอะมาก

.

เพราะการแข่งขันที่สูงขึ้น

ยุคนี้เป็นยุคของการสร้างแบรนด์

ทุกคนต่างสามารถมีแบรนด์เป็นของตัวเอง

.

ของดูคล้ายกันหมด

จนลูกค้าสับสนว่าจะเอาของเจ้าไหนดี

สิ่งที่นำมาเป็นจุดขาย

บางทีอาจไม่ใช่เรื่องของสินค้า

หรือวัตถุดิบที่นำมาขาย

.

การมีนวัตกรรมมาใหม่ๆ

เพื่อมาเป็นจุดขาย

หรือสร้างความแปลกใหม่

มันดีนะครับไม่ใช่ไม่ดี

.

แต่การที่คุณจะเล่าเรื่องของวัตถุดิบ

ที่ให้คนอ่านหรือดูแล้วรู้สึกว่า

มันว้าว,มันน่าสนใจ

มันคือศิลปะการเล่าเรื่องครับ

หรือที่เค้าเรียกว่า StorySelling

(เพิ่งมารู้ทีหลังเหมือนกันว่ามันเรียกแบบนี้)

.

ดังนั้นถ้าคุณมีสินค้าที่ดี

แต่ไม่สามารถเล่าเรื่องที่ดีได้

สินค้าของคุณจะไร้ความหมายทันที

.

ท่ามกลาง Red Ocean แบบนี้

คุณต้องทำตัวให้เป็นต้นหญ้าต้นเล็กๆ

ที่แทรกตัวขึ้นมาเกิด

ระหว่างรอยแตกแขนงของดินให้ได้

การเล่าเรื่องที่ดีนี่แหละ

จะเป็นปุ๋ยชั้นดี

ที่จะผลักดันคุณขึ้นมาให้รอดพ้น

จากสภาพการแข่งขันอันโหดร้ายนี้ได้

.

ของสิ่งๆนึง

แต่คนเล่าต่างกัน

ความหมายและความน่าสนใจ

ก็ต่างกันไปด้วย

.

เช่น หมาที่นอนตายบนถนน

ถ้าให้โน้ตอุดมเล่า

กับลุงตู่มาเล่า

หมาตัวเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน

แต่มีเกิดความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

นั่นเป็นเพราะมุมมองการเล่าเรื่อง

ที่มันไม่เหมือนกัน

.

เล่าให้ดูสนุก ให้ดูตลกเข้าไว้

เป็นพื้นฐานการรับรู้ของสมองค

สมองไม่ชอบอะไรเครียด

เราสามารถเล่าเรื่องที่สนุกแต่ได้เนื้อหาสาระได้

นั่นคือทางที่น่าจะประสบความสำเร็จได้ง่ายที่สุด

.

ดังนั้นสาระสำคัญคือ

เราจะเล่ายังไงให้คนมาติดตาม

ให้ดูน่าฟังและน่าเชื่อถือ

ส่งผลให้สินค้าเราน่าสนใจไปด้วย

.

พื้นฐานเชิงลึกของการเล่าเรื่องที่ดี

มักจะเกิดตอนที่คุณสามารถ

โต้ตอบข้อสักถามสินค้า

จากลูกค้าที่ถามคำถามได้ทั้งหมด

.

นั่นแปลว่าคุณเข้าใจในสินค้าจริงๆ

การจะหยิบจับส่วนไหนของสินค้ามาเล่า

มันก็เล่าได้หมด

.

ถ้าเอาข้อมูลวิชาการที่น่าเบื่อ

ที่ฟังแล้วเข้าใจยาก

มาเล่าให้สนุกได้ เล่าให้คนอ่านเก็ตได้

ก็จะดีเยี่ยม

แต่ถ้าอยากจะเล่นให้ลึกลงไปกว่านี้

สนุกอย่างเดียวไม่พอ

ยังสามารถทำให้ลูกค้าจดจำ

การเล่าเรื่องของคุณ

จนลามไปถึงการจดจำสินค้าของคุณ

มันก็จะพรีเมี่ยมมากกกก

.

การเล่าเรื่องประกอบไปด้วยอะไร

ถ้าอยู่กันต่อหน้ามันจะง่ายหน่อย

การใช้คำ,จังหวะการพูด,โทนเสียง

การใส่อารมณ์,อวัจนภาษา

สิ่งเหล่านี้ลูกค้าจะรับรู้ความรู้สึก

และตอบสนองได้ทันที

.

แต่สังเกตมั้ยครับ

ว่ามันจะง่ายกว่าการเล่าเรื่อง

ที่ผ่านด้วยตัวอักษรหรือข้อความ

ในเรื่องของการเขียนหรือการโพสต์

มันไม่สามารถสื่อตรงๆแบบนั้นได้

.

ดังนั้นการเขียนหรือการโพสต์

จะเน้นเรื่องของการเว้นวรรค,เว้นคำ

การรวบคำ,ภาษาที่ใช้,การเรียงข้อความ

เพื่อก่อให้เกิดการสร้างอารมณ์กับผู้รับสาร

.

ส่วนประกอบเหล่านี้

จะสามารถสร้างความแตกต่าง

ระหว่างการเล่าเรื่องของแต่ละคน

ได้อย่างมหาศาล

SENSITIVE มากนะครับ

.

การใช้คำนั้น

ต้องดูว่ากลุ่มเป้าหมายที่เล่าจะสื่อ

คือกลุ่มไหน

.

ถ้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น

เราสามารถใช้คำวัยรุ่นใหม่ๆหรือการเล่นคำที่หวือหวาได้

.

แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่มีอายุหน่อย

คุณต้องใช้คำที่กระชับ

และเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย

หรือเป็นคำที่คนสมัยก่อนใช้กัน

ใช้คำที่เข้าถึงคนในแต่ละกลุ่มให้ได้

.

ทุกเพศทุกวัยทุกกลุ่มเป้าหมาย

สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเลย...คือ

เนื้อหาที่สื่อจะต้องเกี่ยวข้องกับตัวเค้า

เนื้อหาจะต้องสามารถเข้าถึงคนอ่านได้ง่าย

ต้องทำให้คนอ่านรู้สึกว่า

เราเป็นพวกเดียวกับเค้า

.

อย่าให้เค้าตีความไปทางอื่นได้

การใช้ภาษาที่มีความกำกวม

มันจะทำให้คนอ่านเกิดความสับสน

.

เพราะการเล่าเรื่องที่ดี

คุณจะต้องให้เค้าอ่านแล้วมีอารมณ์ร่วม

ไปในทิศทางเดียวกันที่คุณจะสื่อ

ถ้าคุณใช้คำหรือภาษาที่มันดิ้น

จนคนอื่นคิดต่างออกไปจากที่คุณต้องการ

อารมณ์ร่วมในการเล่ามันจะหลุด

.

จังหวะการเว้นคำ

อย่าให้มันสะดุด

อยากจะจบประโยค

หาคำที่มันมีสระเสียงสั้นไว้ตบท้าย

คนอ่านจะรู้สึกว่านี้คือประโยคจบ

พวกคำครุ-ลหุ คำเป็น-คำตาย

ยังพอจำกันได้รึเปล่า

.

แต่ถ้าอยากเล่าเรื่องต่อ

ให้ใช้คำที่มันสามารถต่อไปอีกประโยคได้

ที่-ซึ่ง-อัน-ผู้

เป็นคำเชื่อมที่มีประสิทธิภาพ

คนอ่านๆแล้วจะรู้สึกลื่นไหลไปเรื่อยๆ

ใช้ให้ถูกกับการเชื่อม2ประโยค

แต่อย่าใช้ซ้ำบ่อยจนเกินไป

.

ภาษาไทยค่อนข้างเล่นคำได้เยอะ

คำพ้องเสียงและพ้องความหมายต่างๆ

ถ้าใช้เป็นจนคล่อง

การวางคำต่างๆ

เมื่อเราอ่าน

จะตกอยู่ในพะวัง

เหมือนกำลังเสพศิลปะทางภาษาเลยทีเดียว

อาจจะไม่ต้องถึงกับการสัมผัสสระวรรณยุกต์

จนกลายเป็นกาพย์กลอน

สุนทรภู่ยังต้องยกมือไหว้

.

การใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียง

ปรับใช้เพื่อให้เนื้อหาของเรา

ดูน่าสนใจ ดึงดูดในการอ่านมากขึ้น

เป็นเทคนิคที่ดีอย่างนึงครับ

.

ลำดับการเล่าเรื่อง

เป็นสิ่งที่ต้องคิดไว้ตั้งแต่ต้น

ว่าคุณจะเล่าสิ่งไหนก่อนและหลัง

คุณไม่จำเป็นต้องเล่า 1-2-3-4

คุณสามารถเล่าเป็น 2-3-4-1 ก็ได้

โยกเอาก้อนนี้มาอยู่ข้างหน้า

แล้วผลักก่อนหน้าไปอยู่ข้างหลัง

อรรถรสการเล่าเรื่องก็จะต่างออกไป

.

มองภาพรวมงานเขียนของตัวเอง

ให้เป็นเหมือนกราฟ

Curve การเล่าเรื่องของคุณ

จะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ

ช้าๆ เนิบๆ

เก็บรายละเอียดทุกจุด

แล้วหาจุดจบของกราฟ

เพื่อปิดการเล่าเรื่อง

อย่าเล่าแล้วรู้สึกว่า

กราฟการเล่าเรื่องของคุณ

เป็นในลักษณะขึ้นๆลงๆ

มันทำให้เนื้อหาของคุณ

ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน

.

อย่างที่บอกว่า

การเล่าเรื่องที่ดีควรจะกระชับ

และตรงประเด็นที่สุด

เพราะสมัยนี้

คนอ่านสมาธิน้อยมาก

.

ถ้าคุณดึงเค้าเข้ามาอยู่ในโลกของคุณไม่ได้

แค่ notification โง่ๆอันนึงเด้งขึ้นมา

เค้าจะหลุดไปทันที

.

ดังนั้นถ้า content ของคุณมีเนื้อหาที่ดี

การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ

การนำเสนอที่น่าติดตาม

มันจะสะกดคนอ่านจนลืมทุกสิ่ง

.

ขณะที่คุณกำลังสร้าง content

คุณต้องคิดตามผู้อ่านได้ว่า

ถึงประโยคนี้ ผู้อ่านกำลังคิดอะไรอยู่

ผู้อ่านกำลังรู้สึกอะไรอยู่เมื่อเจอคำนี้

แล้วให้คุณใช้คำที่ support

กับความรู้สึกของเค้าในขณะนั้น

มันจะทำให้คนอ่านมีความรู้สึกในเชิงบวก

เพราะเหมือนกับเรากำลังอยู่ในโลกเดียวกัน

เรากำลังสื่อสารด้วยภาษาเดียวกัน

เราเข้าใจเค้า-เค้าเข้าใจเรา

.

“ถ้าคุณอยากให้คนเข้ามาอยู่ในโลกของคุณ

คุณเองต้องเข้าไปอยู่ในโลกของเค้าก่อน”

.

สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดีดูอย่างไร

ตอนแรกอยากให้คุณผลิตผลงาน

ให้มีความแตกต่างกันมากๆ

ทั้งวิธีการเล่าและวิธีการนำเสนอ

แล้วคอยเช็ค Feedback จากคนอ่าน

ไม่ว่าจะเป็นยอดไลค์ ยอดแชร์ คอมเม้นท์

หรือการมีส่วนร่วมกับผู้อ่าน

.

เนื้อหาอาจจะตบท้ายด้วยเรื่องของ

การสร้าง Re-action กับผู้อ่าน

ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามในตอนท้าย

.

หรือการเล่าแบบปูเนื้อเรื่องมาตั้งแต่ต้น

แล้วไปจบด้วยการสร้างทางเลือกให้ผู้อ่านได้คิด

ให้มีการตั้งประเด็นเกิดขึ้น

เนื้อหาของคุณจะถูกสร้างต่อจากคนที่มาคอมเม้นท์

ทำให้มี value ขึ้นมาอีกต่อนึง

.

หลายๆ content อาจจะไม่มีแรงดึงดูดมากนัก

แต่คนที่มาคอมเม้นท์ต่างหาก

เป็นคนที่สร้างประเด็น

ให้เกิดการพูดถึงขึ้นมา

.

มุมมองที่แตกต่างของคนแต่ละคน

ทำให้เกิดเรื่องราวใหม่ๆ

ที่เราสามารถเอามาเล่าต่อได้อีก

.

เห็นมั้ยว่าจริงๆแล้ว

Content นั้นสามารถหยิบจับอะไรขึ้นมาก็ได้

แค่บรรทัดๆเดียว

หรือหัวข้อใดสักหัวข้อนึง

นำมาแตกแขนงได้อีก

ได้อีกเป็นสิบๆ content

.

ทั้งหมดทั้งมวลนี้

การที่คุณจะเริ่มเล่าเรื่องได้

คุณจะต้องรู้จักสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของคุณเอง

อยากรู้ซึ้งและแท้จริง

เกิดจากการทดลองใช้

หรือการใช้เวลาอยู่กับมันจริงๆ

.

ไม่ใช่ว่าใครมาบอกว่ามันดี

หรือจากคนที่เราเชื่อถือบอกว่าดี

แล้วเราก็คิดว่ามันดีจริงๆ

โดยไม่ได้ใช้การไตร่ตรองว่า

สิ่งที่เค้าบอกว่าดีนั้นมันดียังไง

.

ทุกลมหายใจของคุณ

ต้องเป็นของสิ่งๆนั้น

ลองเอาสิ่งรอบตัวมาแมทซ์

ให้เข้ากับสินค้าตัวคุณเอง

.

ต้องเข้าเส้นชนิดที่ว่า

สามารถมโนภาพคนที่จะรับสารจากเรา

ต้องเป็นคนอย่างไร

ลักษณะทางกายภาพเป็นเช่นไร

บุคลิกและจริตของคนกลุ่มนั้นเป็นอย่างไร

ความคิดเชิงพื้นฐานมีมากน้อยแค่ไหน

มันไม่มีให้เลือกใน Audience facebook

เพราะนี่คือสิ่งที่ลงลึกกว่านั้น

คุณต้องคิดภาพเหล่านี้ให้เคลียร์

ก่อนที่จะสื่อสารออกไป

.

ทุกคนมี safety area เป็นของตัวเอง

โดยปกติมันคือ 1x1 เมตร

ว่าง่ายๆคือ

1 ช่วงแขนเป็นรัศมีวงกลมของคนๆนั้น

ถ้าคุณทลายกำแพงตรงนั้นลงได้

เค้าจะเห็นว่าคุณคือพวกเค้าทันที

.

แต่นั้นคือเคสที่อยู่หน้างานครับ

ในเรื่องของ content ล่ะ

เราจะทลายกำแพงตรงนี้ลงได้อย่างไร

กำแพงนั้นคือภาษาที่เราจะต้องใช้

ในการสร้างเนื้อหายังไงล่ะครับ

.

ภาษาของคนแต่ละกลุ่มเป็นเช่นไรนั้น

มันเกิดจากการที่คุณ

ต้องเข้าไปคลุกคลีกับคนเหล่านั้นจริงๆ

.

ก่อนจะกลับคอนโดในแต่ละวัน

ผมจะไปคุยกับแม่ค้าพ่อค้าสักแปบนึงเสมอๆ

คุณจะเปิดเรื่องการคุยกับเค้าด้วยเรื่องอะไรก็ได้

ข่าวสารทั่วไป สภาพแวดล้อม สินค้าที่เค้ากำลังขาย

.

เมื่อคุณได้พูดคุยกับคนในแต่ละกลุ่ม แต่ละ segment บ่อยๆ

ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกตุและจับใจความได้

คุณจะรู้ว่ากลุ่มคนแต่ละกลุ่มนั้น

จะมีภาษาของเค้าอยู่

.

ภาษาพวกนี้แหละมันเป็นสิ่งที่บอกสิ่งที่อยู่ในใจ

ว่าเค้ามีความคิดอย่างไร

เพราะคำพูดคือสิ่งที่เป็นตัวแปร

ที่มีรากฐานจากความคิด

คำพูดคือผลผลิต

ที่เราสามารถสัมผัสได้

อย่างเป็นรูปธรรม

จนเราสามารถสรุปได้ว่า

“เค้าคิดอย่างไรและจะสื่อสารกับกลุ่มคนเหล่านี้ยังไง”

.

เมื่อคุณได้ภาษาของเค้ามาแล้ว

การใช้ภาษาในการเขียน content

จะสอดคล้องกับกลุ่มคนเหล่านี้ไปโดยปริยาย

มันจะเป็นกำแพงบางๆ

ที่สามารถ connect กับกลุ่มคนเหล่านี้ได้ง่าย

.

มันง่ายกระทั่งว่า

คุณจะเอาของ2อย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกัน

มาทำให้มันเกี่ยวข้องกัน

เชื่อมั้ยว่ามันจะเกี่ยวข้องกันได้จริงๆ

จนคนอ่านๆแล้วรู้สึกว่า

“แบบนี้ก็ได้หรอวะ”

.

นั่นคือการฝืนความรู้สึก

ในทาง common sense

ที่เค้าเคยได้สัมผัส

ไม่ถูกกฏธรรมชาติ

แต่ภาษาดันถูกจริต

เค้าจะยอมรับไปโดยปริยาย

.

ไอเดียที่เกิดจากการสร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพ

ไม่ได้เกิดจากการที่คุณนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด

เพื่อที่จะให้มันเกิดความคิดขึ้นมา

“Content ที่ดีเกิดจากการคั่วไม่ใช่การเค้น”

.

การคั่วคืออะไร

การคั่วคือการที่คุณรับสื่อ

หรือเสพสิ่งที่อยู่รอบตัวคุณ

ไม่ว่าจะเป็นข่าว ละคร ภาพวาด

อ่านหนังสือ ดูคลิป ดูหนัง

ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

ทุกๆอย่างที่ผ่านสายตาคุณ

คุณสามารถเอามาเป็นวัตถุดิบความคิด

แบบหยาบๆไว้ก่อน

ดูไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดอะไร

.

ถ้าคุณมีข้อมูลมากพอ

สมองคุณจะ”เกิดการตกผลึกโดยบังเอิญ”

คุณจะมีการปิ๊งขึ้นมาเป็นระยะๆ

Flash ไอเดียจะโผล่ขึ้นมาตลอด

ทุกกิริยาบทในระหว่างวัน

ไม่ว่าคุณกำลังเข้าห้องน้ำ กินข้าว

หรือไปขโมยหมูชาวบ้านอยู่

.

สำหรับตัวผมเองจะแว้บขึ้นมาตอนล้มตัวนอน

สมองไม่ได้คิดอะไรเตรียมพร้อมที่จะหลับ

สภาพที่ผ่อนคลาย อุณหภูมิที่พอเหมาะ

จังหวะนั้นคือจังหวะที่สมองเปิดโล่งมาก

ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทุกๆวัน

มันจะผุดขึ้นมาช่วงนั้น

จนเกิดเป็นไอเดียแปลกๆอยู่เสมอ

.

มีสมุดเล่มเล็กๆกับดินสอปากกาไว้ข้างๆตัว

ถ้ามันแว้บขึ้นมาปุ๊บให้จดทันที

เพราะมันจะโผล่มาแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ

แล้วมันจะหายไปอย่างรวดเร็ว

.

ขนาดผมอยู่บนรถ

แล้วมันเกิดมีอะไรแว๊บขึ้นมา

ผมต้องจอดรถเพื่อจดมันไว้

เพราะไม่รู้ว่าถ้าเลี้ยวซ้ายสัก2ที

ไอเดียนี้มันจะหายไปแล้วรึเปล่า

.

ตอนนอนก็เหมือนกัน

คุณไม่ต้องถึงกับลุกขึ้นมาเปิดไฟ

เพื่อเขียนให้มันเป็นจริงเป็นจัง

คุณยังสามารถเขียนหนังสือในความมืดได้

ถูกมั้ยครับ

.

เขียนแต่หัวข้อก็พอ ไม่ต้องลงรายละเอียด

เพราะถ้าคุณจริงจังกับหัวข้อๆนึงเมื่อไหร่

มันจะปิดกั้นสิ่งอื่นๆเข้ามาทีหลังทันที

ปล่อยให้สมองมันโล่ง

ให้จิตมันวิ่งไปเรื่อยๆ

เรามีหน้าที่ดูอย่างเดียว

.

ในเส้นทางของความโลดแล่นอยู่นั้น

มันจะมีไอเดียแปลกๆ

แฝงเข้ามาด้วยอยู่เสมอ

เมื่อได้ไอเดียตรงนั้นมาแล้ว

ตื่นเช้าค่อยเอามาดู

แล้วเอามาต่อยอด

บางทีผมนั่งเฝ้าดูจิตมันวิ่ง

จนถึงเช้าก็บ่อย

.

เมื่อเราสร้าง content เสร็จแล้ว

ให้คุณลองอ่าน content ของตัวเอง

ว่ามีความรู้สึกอย่างไร

ตรงไหนสะดุด ให้ลองเปลี่ยนคำใหม่ดู

คำไหนพิมพ์ผิด

หรืออ่านแล้วไม่เป็นไปตามที่เราคิด

ก็เปลี่ยนให้มันเข้าที่เข้าทางขึ้น

.

เพราะการที่คนกำลังอ่าน content อยู่นั้น

คุณมีคำผิด-ถูกเข้ามาปะปนในเนื้อหา

หรือแม้กระทั่งคำสะกดที่ผิด

คนจะไปจับผิดการใช้ภาษาของคุณ

ทำให้ทิศทางการสื่อสารของคุณผิดเพี้ยนไปทันที

.

แต่สิ่งสำคัญเลย

คุณอ่านแล้วคุณเองก็ต้องอิน

ต้องอิน! ต้องอิน!! ต้องอิน!!!

เพราะถ้าคุณอิน

นั่นแปลว่า

การสื่อสารของคุณ

สามารถสร้างความรู้สึก

ให้กับผู้รับสารได้

ถ้าคุณยังไม่อิน

คนอื่นเค้าก็ไม่อินไปกับคุณแน่นอน

.

บางคนอินเนอร์มาเต็มมาก

แต่เล่าเรื่องไม่เป็น

แบบว่า “เฮ๊ย ก็ของมันดีอ่ะมึง มันดีมากกกกก ไม่รู้จะบอกยังไง”

“ไอ่ห่า มึงเองยังบอกไม่รู้แล้วกูจะไปเข้าใจกับมึงมั้ย”

พลังอินเนอร์เยอะ

แต่ดันตกหล่นไปกับการสื่อสารซะเยอะ

จนทำให้สิ่งที่อยากจะเล่า

ไม่มีประสิทธิภาพไปเลย

.

ถ้าเนื้อหาของคุณมีความยาวมากๆ

แนะนำให้ซอยประโยคสั้นๆ

แล้วเคาะ enter เอา

.

บังคับให้คนอ่านจากบนลงล่าง

ไม่ใช่การอ่านจากซ้ายไปขวา

เหมือนกำลังอ่านภาษาจีน

เหมือนที่ผมกำลังทำให้คุณอ่านอยู่

.

การที่คนกรอกตาซ้ายขวาไปมา

จะทำให้ตาผู้อ่านเกิดความเมื่อยล้า

สติและโฟกัสเค้าจะหลุด

การ connect กับ content เราจะดรอปลง

.

ลองเอาไปใช้

คุณจะเห็นความแตกต่างของงานคุณเอง

คุณจะได้เนื้อหาที่มีความสละสลวย

มีความกระชับ

เนื้อหาอัดแน่นแต่มีความลื่นไหล

.

ทฤษฏีและแนวคิดมาเยอะละ

ขอยกเคส Study ขึ้นมา 1 เคสครับ

.

พอดีได้รับโจทย์มาว่า

อยากให้ช่วยคิด Caption โฆษณาให้สินค้าอย่างนึง

สินค้าเป็นประเภทของการดีท๊อกซ์ร่างกาย

Target คือ กลุ่มคนที่มีปัญหาเรื่องของระบบขับถ่าย

ท้องผูก ถ่ายยาก

เป็นกลุ่มคนอายุ 45 ปีขึ้นไป

.

ก่อนจะคิดคำหรือเล่าเรื่องทุกครั้ง

หลักสำคัญมากเลยนะครับ

คือต้องเอาตัวเองเป็นคนกลุ่มนั้นเสมอ

จินตนการตัวเองต้องเป็นคนอายุ 45

ที่มีปัญหาการขับถ่าย

คนกลุ่มนี้เป็นคนยังไง

เค้าอยากรู้อะไร

เค้ากำลังเผชิญปัญหาอะไร

.

ค่อยๆคิดครับ

อย่างที่บอก

การจะสร้างอะไรอย่าใช้การเค้น

มันไม่ได้ช่วยอะไร

ระหว่างคิด ก็เดินไปกรอกน้ำ

ขัดห้องน้ำ พับผ้าไปพลางๆ

.

หาแค่คำหรือประโยค

ที่ทำให้คนกลุ่มนี้อ่านแล้วรู้สึก

“impact จน panic”

.

ทำไมผมถึงใช้คำนี้

เพราะผมเข้าใจว่า

คนอายุ 45+ คือกลุ่มคนสูงอายุ

จะมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและโรคภัย

และมีความเป็นห่วงเป็นใยกับคนรอบข้างเป็นพิเศษ

.

อารมณ์ประมาณว่า

เพื่อนเป็น

คนข้างบ้านเป็น

เออ...สงสัยเดี๋ยวกูคงเป็นเหมือนกัน

คนวัยนี้

พยายามหาข้อมูลให้โรคหาย

แต่ไม่หาข้อมูลป้องกันตัวเองไม่ให้เป็น

.

ปิ้งไอเดียแรกเลยของผมคือ

การสร้างจิตนภาพเชิงสัญลักษณ์(Symbolic)

อะไรคือตัวแทนของปัญหาการขับถ่าย

สิ่งที่ผมคิดออกมามีอยู่ 3 สิ่ง

1.กล้องถ่ายรูป(แบบฟิล์ม)

2.จุกก๊อกไวน์

3.สี่งของที่ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดหรือบีบแน่น

เช่น เชือกมัดปม คลิปหนีบ เชือกที่พันกันรุงรัง

.

ของพวกนี้ไม่มีผิดถูกนะครับ

มันขึ้นอยู่กับปิ๊งแรกที่คุณคิดได้

ผมเอาสิ่งของที่เป็นเชิงสัญลักษณ์นี้

มาเป็นส่วนประกอบของการ Caption

จนได้ประโยคมาว่า

.

#แจ้งเตือนภัย #ฝากบอกต่อ

คุณรู้หรือไม่!!

ท้องผูก ถ่ายยาก

เป็นภัยใกล้ตัวและอันตรายมากกว่าที่คุณคิด

อย่าปล่อยให้เกิดสิ่งนี้กับตัวคุณและคนรอบข้าง

เรามีตัวช่วย ไร้ความเจ็บป่วย ด้วยการดีท๊อกซ์”

.

เห็นมั้ยว่า

แค่ Caption สั้นๆ

เพื่อนำไปยิง ads โฆษณา

มันผ่านกระบวนการคิดมากมายขนาดไหน

เพื่อสะกดคนอ่านวัยนั้น

ให้อยู่หมัด ภายใน3วินาที

.

ถ้าคุณอ่านบทความนี้จบ

ขอแสดงความยินดีด้วย

ผมสามารถหลอกให้คุณอ่านหนังสือ

ขนาด pocket book

ที่มีความยาวถึง 50 หน้า

ด้วยการใช้ภาษา

ที่มีการแฝงอะไรมากมาย

สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เอามาประกอบกัน

ทำคุณไม่รู้สึกเลยว่า

คุณกำลังอ่านบทความยาวเหยียดนี้อยู่

.

ส่งท้าย

ถึงผมจะไม่ใช่ copywriter ที่มากประสบการณ์

ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการสร้าง content โดยตรง

แต่วิธีการคิด การใช้ภาษา

การหาจุดเล่าเรื่องและวิธีการเล่า

จนได้รางวัลจากการreview สินค้า

และการประกวดเขียน caption มาพอสมควร

.

ดังนั้นผมคิดว่า

กระบวนการถ่ายทอดเรื่องราว

ถือว่าเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างนึง

ที่น่าจะพอเป็นความรู้และสามารถแชร์เป็นไอเดีย

ให้กับคนที่มีปัญหาเรื่องการคิด content อยู่ได้บ้าง

.

ทั้งหมดคือประสบการณ์ส่วนตัว

ที่เกิดจากการสังเกตและลองผิดลองถูกมาตลอด

จงให้เวลากับมัน

เริ่มเป็นคนรู้จักการเรียนรู้และสังเกตสิ่งรอบตัว

เพื่อเอามาผลิตเป็นผลงานได้ทุกวันๆ

งานของคุณจะไม่มีที่สิ้นสุด

การคิดงานของคุณจะไม่มีกำแพงอีกต่อไป

.

คุณเชื่อมั้ยว่า

เนื้อหาของEPนี้

สามารถแตกประเด็น

และลงรายละเอียด

ได้อีกมากมาย

เรียกได้ว่ามีอะไรให้คุณได้อ่าน

อีกหลายเดือน

เอาไปปรับใช้ดูนะครับ

.

.

ผมไม่ใช่ ฌอน บูรณะหิรัญ

แต่ผมคือ เอ็กซ์ จักรพันธ์.....ทูลทรัพย์

(ได้ใช้ประโยคนี้ละเว้ย 555)

ปล.shareให้ไกล likeให้รัว ให้เครดิตด้วยนะ...พลีส

Love you.

.

ร่วมพูดคุยกันได้ที่

https://www.facebook.com/Ex.MatchingProperty/posts/pfbid0FKYUNYZjEL4juJgAbG1eojHjBMoQ6uM7FyUD7mp9tzkCADMzhKbeNvTTEoRiCFrel

บทความที่เกี่ยวข้อง (3)