WeChat ID :
EP ที่ทุกคนรอคอย
เชื่อว่านี่คือการเม้ามอย
ที่ทรงคุณค่าที่สุดเม้ามอยนึง
ตราบเท่าที่พวกคุณ
เคยตามการเม้ามอยของผมมา
.
ว่ากันด้วยเรื่องของการเขียน
Caption และ Content
ที่นำเอาศาสตร์ของศิลปะ
การเล่าเรื่องภาพยนตร์
เข้ามาเกี่ยวข้อง
กับการผลิตเนื้อหาเพื่อการตลาด
.
**WARNING : EP นี้ยาวมาก ถ้ายังไม่พร้อม อย่าอ่าน**
.
ขอเกริ่นย้อนหลังนิดนึงนะครับ
ช่วงหลังมีคนปรึกษาเรื่องของStrategic
และการคิด content เยอะมาก
.
เพราะการแข่งขันที่สูงขึ้น
ยุคนี้เป็นยุคของการสร้างแบรนด์
ทุกคนต่างสามารถมีแบรนด์เป็นของตัวเอง
.
ของดูคล้ายกันหมด
จนลูกค้าสับสนว่าจะเอาของเจ้าไหนดี
สิ่งที่นำมาเป็นจุดขาย
บางทีอาจไม่ใช่เรื่องของสินค้า
หรือวัตถุดิบที่นำมาขาย
.
การมีนวัตกรรมมาใหม่ๆ
เพื่อมาเป็นจุดขาย
หรือสร้างความแปลกใหม่
มันดีนะครับไม่ใช่ไม่ดี
.
แต่การที่คุณจะเล่าเรื่องของวัตถุดิบ
ที่ให้คนอ่านหรือดูแล้วรู้สึกว่า
มันว้าว,มันน่าสนใจ
มันคือศิลปะการเล่าเรื่องครับ
หรือที่เค้าเรียกว่า StorySelling
(เพิ่งมารู้ทีหลังเหมือนกันว่ามันเรียกแบบนี้)
.
ดังนั้นถ้าคุณมีสินค้าที่ดี
แต่ไม่สามารถเล่าเรื่องที่ดีได้
สินค้าของคุณจะไร้ความหมายทันที
.
ท่ามกลาง Red Ocean แบบนี้
คุณต้องทำตัวให้เป็นต้นหญ้าต้นเล็กๆ
ที่แทรกตัวขึ้นมาเกิด
ระหว่างรอยแตกแขนงของดินให้ได้
การเล่าเรื่องที่ดีนี่แหละ
จะเป็นปุ๋ยชั้นดี
ที่จะผลักดันคุณขึ้นมาให้รอดพ้น
จากสภาพการแข่งขันอันโหดร้ายนี้ได้
.
ของสิ่งๆนึง
แต่คนเล่าต่างกัน
ความหมายและความน่าสนใจ
ก็ต่างกันไปด้วย
.
เช่น หมาที่นอนตายบนถนน
ถ้าให้โน้ตอุดมเล่า
กับลุงตู่มาเล่า
หมาตัวเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน
แต่มีเกิดความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
นั่นเป็นเพราะมุมมองการเล่าเรื่อง
ที่มันไม่เหมือนกัน
.
เล่าให้ดูสนุก ให้ดูตลกเข้าไว้
เป็นพื้นฐานการรับรู้ของสมองค
สมองไม่ชอบอะไรเครียด
เราสามารถเล่าเรื่องที่สนุกแต่ได้เนื้อหาสาระได้
นั่นคือทางที่น่าจะประสบความสำเร็จได้ง่ายที่สุด
.
ดังนั้นสาระสำคัญคือ
เราจะเล่ายังไงให้คนมาติดตาม
ให้ดูน่าฟังและน่าเชื่อถือ
ส่งผลให้สินค้าเราน่าสนใจไปด้วย
.
พื้นฐานเชิงลึกของการเล่าเรื่องที่ดี
มักจะเกิดตอนที่คุณสามารถ
โต้ตอบข้อสักถามสินค้า
จากลูกค้าที่ถามคำถามได้ทั้งหมด
.
นั่นแปลว่าคุณเข้าใจในสินค้าจริงๆ
การจะหยิบจับส่วนไหนของสินค้ามาเล่า
มันก็เล่าได้หมด
.
ถ้าเอาข้อมูลวิชาการที่น่าเบื่อ
ที่ฟังแล้วเข้าใจยาก
มาเล่าให้สนุกได้ เล่าให้คนอ่านเก็ตได้
ก็จะดีเยี่ยม
แต่ถ้าอยากจะเล่นให้ลึกลงไปกว่านี้
สนุกอย่างเดียวไม่พอ
ยังสามารถทำให้ลูกค้าจดจำ
การเล่าเรื่องของคุณ
จนลามไปถึงการจดจำสินค้าของคุณ
มันก็จะพรีเมี่ยมมากกกก
.
การเล่าเรื่องประกอบไปด้วยอะไร
ถ้าอยู่กันต่อหน้ามันจะง่ายหน่อย
การใช้คำ,จังหวะการพูด,โทนเสียง
การใส่อารมณ์,อวัจนภาษา
สิ่งเหล่านี้ลูกค้าจะรับรู้ความรู้สึก
และตอบสนองได้ทันที
.
แต่สังเกตมั้ยครับ
ว่ามันจะง่ายกว่าการเล่าเรื่อง
ที่ผ่านด้วยตัวอักษรหรือข้อความ
ในเรื่องของการเขียนหรือการโพสต์
มันไม่สามารถสื่อตรงๆแบบนั้นได้
.
ดังนั้นการเขียนหรือการโพสต์
จะเน้นเรื่องของการเว้นวรรค,เว้นคำ
การรวบคำ,ภาษาที่ใช้,การเรียงข้อความ
เพื่อก่อให้เกิดการสร้างอารมณ์กับผู้รับสาร
.
ส่วนประกอบเหล่านี้
จะสามารถสร้างความแตกต่าง
ระหว่างการเล่าเรื่องของแต่ละคน
ได้อย่างมหาศาล
SENSITIVE มากนะครับ
.
การใช้คำนั้น
ต้องดูว่ากลุ่มเป้าหมายที่เล่าจะสื่อ
คือกลุ่มไหน
.
ถ้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น
เราสามารถใช้คำวัยรุ่นใหม่ๆหรือการเล่นคำที่หวือหวาได้
.
แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่มีอายุหน่อย
คุณต้องใช้คำที่กระชับ
และเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย
หรือเป็นคำที่คนสมัยก่อนใช้กัน
ใช้คำที่เข้าถึงคนในแต่ละกลุ่มให้ได้
.
ทุกเพศทุกวัยทุกกลุ่มเป้าหมาย
สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเลย...คือ
เนื้อหาที่สื่อจะต้องเกี่ยวข้องกับตัวเค้า
เนื้อหาจะต้องสามารถเข้าถึงคนอ่านได้ง่าย
ต้องทำให้คนอ่านรู้สึกว่า
เราเป็นพวกเดียวกับเค้า
.
อย่าให้เค้าตีความไปทางอื่นได้
การใช้ภาษาที่มีความกำกวม
มันจะทำให้คนอ่านเกิดความสับสน
.
เพราะการเล่าเรื่องที่ดี
คุณจะต้องให้เค้าอ่านแล้วมีอารมณ์ร่วม
ไปในทิศทางเดียวกันที่คุณจะสื่อ
ถ้าคุณใช้คำหรือภาษาที่มันดิ้น
จนคนอื่นคิดต่างออกไปจากที่คุณต้องการ
อารมณ์ร่วมในการเล่ามันจะหลุด
.
จังหวะการเว้นคำ
อย่าให้มันสะดุด
อยากจะจบประโยค
หาคำที่มันมีสระเสียงสั้นไว้ตบท้าย
คนอ่านจะรู้สึกว่านี้คือประโยคจบ
พวกคำครุ-ลหุ คำเป็น-คำตาย
ยังพอจำกันได้รึเปล่า
.
แต่ถ้าอยากเล่าเรื่องต่อ
ให้ใช้คำที่มันสามารถต่อไปอีกประโยคได้
ที่-ซึ่ง-อัน-ผู้
เป็นคำเชื่อมที่มีประสิทธิภาพ
คนอ่านๆแล้วจะรู้สึกลื่นไหลไปเรื่อยๆ
ใช้ให้ถูกกับการเชื่อม2ประโยค
แต่อย่าใช้ซ้ำบ่อยจนเกินไป
.
ภาษาไทยค่อนข้างเล่นคำได้เยอะ
คำพ้องเสียงและพ้องความหมายต่างๆ
ถ้าใช้เป็นจนคล่อง
การวางคำต่างๆ
เมื่อเราอ่าน
จะตกอยู่ในพะวัง
เหมือนกำลังเสพศิลปะทางภาษาเลยทีเดียว
อาจจะไม่ต้องถึงกับการสัมผัสสระวรรณยุกต์
จนกลายเป็นกาพย์กลอน
สุนทรภู่ยังต้องยกมือไหว้
.
การใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียง
ปรับใช้เพื่อให้เนื้อหาของเรา
ดูน่าสนใจ ดึงดูดในการอ่านมากขึ้น
เป็นเทคนิคที่ดีอย่างนึงครับ
.
ลำดับการเล่าเรื่อง
เป็นสิ่งที่ต้องคิดไว้ตั้งแต่ต้น
ว่าคุณจะเล่าสิ่งไหนก่อนและหลัง
คุณไม่จำเป็นต้องเล่า 1-2-3-4
คุณสามารถเล่าเป็น 2-3-4-1 ก็ได้
โยกเอาก้อนนี้มาอยู่ข้างหน้า
แล้วผลักก่อนหน้าไปอยู่ข้างหลัง
อรรถรสการเล่าเรื่องก็จะต่างออกไป
.
มองภาพรวมงานเขียนของตัวเอง
ให้เป็นเหมือนกราฟ
Curve การเล่าเรื่องของคุณ
จะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ
ช้าๆ เนิบๆ
เก็บรายละเอียดทุกจุด
แล้วหาจุดจบของกราฟ
เพื่อปิดการเล่าเรื่อง
อย่าเล่าแล้วรู้สึกว่า
กราฟการเล่าเรื่องของคุณ
เป็นในลักษณะขึ้นๆลงๆ
มันทำให้เนื้อหาของคุณ
ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน
.
อย่างที่บอกว่า
การเล่าเรื่องที่ดีควรจะกระชับ
และตรงประเด็นที่สุด
เพราะสมัยนี้
คนอ่านสมาธิน้อยมาก
.
ถ้าคุณดึงเค้าเข้ามาอยู่ในโลกของคุณไม่ได้
แค่ notification โง่ๆอันนึงเด้งขึ้นมา
เค้าจะหลุดไปทันที
.
ดังนั้นถ้า content ของคุณมีเนื้อหาที่ดี
การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ
การนำเสนอที่น่าติดตาม
มันจะสะกดคนอ่านจนลืมทุกสิ่ง
.
ขณะที่คุณกำลังสร้าง content
คุณต้องคิดตามผู้อ่านได้ว่า
ถึงประโยคนี้ ผู้อ่านกำลังคิดอะไรอยู่
ผู้อ่านกำลังรู้สึกอะไรอยู่เมื่อเจอคำนี้
แล้วให้คุณใช้คำที่ support
กับความรู้สึกของเค้าในขณะนั้น
มันจะทำให้คนอ่านมีความรู้สึกในเชิงบวก
เพราะเหมือนกับเรากำลังอยู่ในโลกเดียวกัน
เรากำลังสื่อสารด้วยภาษาเดียวกัน
เราเข้าใจเค้า-เค้าเข้าใจเรา
.
“ถ้าคุณอยากให้คนเข้ามาอยู่ในโลกของคุณ
คุณเองต้องเข้าไปอยู่ในโลกของเค้าก่อน”
.
สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดีดูอย่างไร
ตอนแรกอยากให้คุณผลิตผลงาน
ให้มีความแตกต่างกันมากๆ
ทั้งวิธีการเล่าและวิธีการนำเสนอ
แล้วคอยเช็ค Feedback จากคนอ่าน
ไม่ว่าจะเป็นยอดไลค์ ยอดแชร์ คอมเม้นท์
หรือการมีส่วนร่วมกับผู้อ่าน
.
เนื้อหาอาจจะตบท้ายด้วยเรื่องของ
การสร้าง Re-action กับผู้อ่าน
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามในตอนท้าย
.
หรือการเล่าแบบปูเนื้อเรื่องมาตั้งแต่ต้น
แล้วไปจบด้วยการสร้างทางเลือกให้ผู้อ่านได้คิด
ให้มีการตั้งประเด็นเกิดขึ้น
เนื้อหาของคุณจะถูกสร้างต่อจากคนที่มาคอมเม้นท์
ทำให้มี value ขึ้นมาอีกต่อนึง
.
หลายๆ content อาจจะไม่มีแรงดึงดูดมากนัก
แต่คนที่มาคอมเม้นท์ต่างหาก
เป็นคนที่สร้างประเด็น
ให้เกิดการพูดถึงขึ้นมา
.
มุมมองที่แตกต่างของคนแต่ละคน
ทำให้เกิดเรื่องราวใหม่ๆ
ที่เราสามารถเอามาเล่าต่อได้อีก
.
เห็นมั้ยว่าจริงๆแล้ว
Content นั้นสามารถหยิบจับอะไรขึ้นมาก็ได้
แค่บรรทัดๆเดียว
หรือหัวข้อใดสักหัวข้อนึง
นำมาแตกแขนงได้อีก
ได้อีกเป็นสิบๆ content
.
ทั้งหมดทั้งมวลนี้
การที่คุณจะเริ่มเล่าเรื่องได้
คุณจะต้องรู้จักสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของคุณเอง
อยากรู้ซึ้งและแท้จริง
เกิดจากการทดลองใช้
หรือการใช้เวลาอยู่กับมันจริงๆ
.
ไม่ใช่ว่าใครมาบอกว่ามันดี
หรือจากคนที่เราเชื่อถือบอกว่าดี
แล้วเราก็คิดว่ามันดีจริงๆ
โดยไม่ได้ใช้การไตร่ตรองว่า
สิ่งที่เค้าบอกว่าดีนั้นมันดียังไง
.
ทุกลมหายใจของคุณ
ต้องเป็นของสิ่งๆนั้น
ลองเอาสิ่งรอบตัวมาแมทซ์
ให้เข้ากับสินค้าตัวคุณเอง
.
ต้องเข้าเส้นชนิดที่ว่า
สามารถมโนภาพคนที่จะรับสารจากเรา
ต้องเป็นคนอย่างไร
ลักษณะทางกายภาพเป็นเช่นไร
บุคลิกและจริตของคนกลุ่มนั้นเป็นอย่างไร
ความคิดเชิงพื้นฐานมีมากน้อยแค่ไหน
มันไม่มีให้เลือกใน Audience facebook
เพราะนี่คือสิ่งที่ลงลึกกว่านั้น
คุณต้องคิดภาพเหล่านี้ให้เคลียร์
ก่อนที่จะสื่อสารออกไป
.
ทุกคนมี safety area เป็นของตัวเอง
โดยปกติมันคือ 1x1 เมตร
ว่าง่ายๆคือ
1 ช่วงแขนเป็นรัศมีวงกลมของคนๆนั้น
ถ้าคุณทลายกำแพงตรงนั้นลงได้
เค้าจะเห็นว่าคุณคือพวกเค้าทันที
.
แต่นั้นคือเคสที่อยู่หน้างานครับ
ในเรื่องของ content ล่ะ
เราจะทลายกำแพงตรงนี้ลงได้อย่างไร
กำแพงนั้นคือภาษาที่เราจะต้องใช้
ในการสร้างเนื้อหายังไงล่ะครับ
.
ภาษาของคนแต่ละกลุ่มเป็นเช่นไรนั้น
มันเกิดจากการที่คุณ
ต้องเข้าไปคลุกคลีกับคนเหล่านั้นจริงๆ
.
ก่อนจะกลับคอนโดในแต่ละวัน
ผมจะไปคุยกับแม่ค้าพ่อค้าสักแปบนึงเสมอๆ
คุณจะเปิดเรื่องการคุยกับเค้าด้วยเรื่องอะไรก็ได้
ข่าวสารทั่วไป สภาพแวดล้อม สินค้าที่เค้ากำลังขาย
.
เมื่อคุณได้พูดคุยกับคนในแต่ละกลุ่ม แต่ละ segment บ่อยๆ
ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกตุและจับใจความได้
คุณจะรู้ว่ากลุ่มคนแต่ละกลุ่มนั้น
จะมีภาษาของเค้าอยู่
.
ภาษาพวกนี้แหละมันเป็นสิ่งที่บอกสิ่งที่อยู่ในใจ
ว่าเค้ามีความคิดอย่างไร
เพราะคำพูดคือสิ่งที่เป็นตัวแปร
ที่มีรากฐานจากความคิด
คำพูดคือผลผลิต
ที่เราสามารถสัมผัสได้
อย่างเป็นรูปธรรม
จนเราสามารถสรุปได้ว่า
“เค้าคิดอย่างไรและจะสื่อสารกับกลุ่มคนเหล่านี้ยังไง”
.
เมื่อคุณได้ภาษาของเค้ามาแล้ว
การใช้ภาษาในการเขียน content
จะสอดคล้องกับกลุ่มคนเหล่านี้ไปโดยปริยาย
มันจะเป็นกำแพงบางๆ
ที่สามารถ connect กับกลุ่มคนเหล่านี้ได้ง่าย
.
มันง่ายกระทั่งว่า
คุณจะเอาของ2อย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
มาทำให้มันเกี่ยวข้องกัน
เชื่อมั้ยว่ามันจะเกี่ยวข้องกันได้จริงๆ
จนคนอ่านๆแล้วรู้สึกว่า
“แบบนี้ก็ได้หรอวะ”
.
นั่นคือการฝืนความรู้สึก
ในทาง common sense
ที่เค้าเคยได้สัมผัส
ไม่ถูกกฏธรรมชาติ
แต่ภาษาดันถูกจริต
เค้าจะยอมรับไปโดยปริยาย
.
ไอเดียที่เกิดจากการสร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพ
ไม่ได้เกิดจากการที่คุณนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด
เพื่อที่จะให้มันเกิดความคิดขึ้นมา
“Content ที่ดีเกิดจากการคั่วไม่ใช่การเค้น”
.
การคั่วคืออะไร
การคั่วคือการที่คุณรับสื่อ
หรือเสพสิ่งที่อยู่รอบตัวคุณ
ไม่ว่าจะเป็นข่าว ละคร ภาพวาด
อ่านหนังสือ ดูคลิป ดูหนัง
ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ทุกๆอย่างที่ผ่านสายตาคุณ
คุณสามารถเอามาเป็นวัตถุดิบความคิด
แบบหยาบๆไว้ก่อน
ดูไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดอะไร
.
ถ้าคุณมีข้อมูลมากพอ
สมองคุณจะ”เกิดการตกผลึกโดยบังเอิญ”
คุณจะมีการปิ๊งขึ้นมาเป็นระยะๆ
Flash ไอเดียจะโผล่ขึ้นมาตลอด
ทุกกิริยาบทในระหว่างวัน
ไม่ว่าคุณกำลังเข้าห้องน้ำ กินข้าว
หรือไปขโมยหมูชาวบ้านอยู่
.
สำหรับตัวผมเองจะแว้บขึ้นมาตอนล้มตัวนอน
สมองไม่ได้คิดอะไรเตรียมพร้อมที่จะหลับ
สภาพที่ผ่อนคลาย อุณหภูมิที่พอเหมาะ
จังหวะนั้นคือจังหวะที่สมองเปิดโล่งมาก
ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทุกๆวัน
มันจะผุดขึ้นมาช่วงนั้น
จนเกิดเป็นไอเดียแปลกๆอยู่เสมอ
.
มีสมุดเล่มเล็กๆกับดินสอปากกาไว้ข้างๆตัว
ถ้ามันแว้บขึ้นมาปุ๊บให้จดทันที
เพราะมันจะโผล่มาแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ
แล้วมันจะหายไปอย่างรวดเร็ว
.
ขนาดผมอยู่บนรถ
แล้วมันเกิดมีอะไรแว๊บขึ้นมา
ผมต้องจอดรถเพื่อจดมันไว้
เพราะไม่รู้ว่าถ้าเลี้ยวซ้ายสัก2ที
ไอเดียนี้มันจะหายไปแล้วรึเปล่า
.
ตอนนอนก็เหมือนกัน
คุณไม่ต้องถึงกับลุกขึ้นมาเปิดไฟ
เพื่อเขียนให้มันเป็นจริงเป็นจัง
คุณยังสามารถเขียนหนังสือในความมืดได้
ถูกมั้ยครับ
.
เขียนแต่หัวข้อก็พอ ไม่ต้องลงรายละเอียด
เพราะถ้าคุณจริงจังกับหัวข้อๆนึงเมื่อไหร่
มันจะปิดกั้นสิ่งอื่นๆเข้ามาทีหลังทันที
ปล่อยให้สมองมันโล่ง
ให้จิตมันวิ่งไปเรื่อยๆ
เรามีหน้าที่ดูอย่างเดียว
.
ในเส้นทางของความโลดแล่นอยู่นั้น
มันจะมีไอเดียแปลกๆ
แฝงเข้ามาด้วยอยู่เสมอ
เมื่อได้ไอเดียตรงนั้นมาแล้ว
ตื่นเช้าค่อยเอามาดู
แล้วเอามาต่อยอด
บางทีผมนั่งเฝ้าดูจิตมันวิ่ง
จนถึงเช้าก็บ่อย
.
เมื่อเราสร้าง content เสร็จแล้ว
ให้คุณลองอ่าน content ของตัวเอง
ว่ามีความรู้สึกอย่างไร
ตรงไหนสะดุด ให้ลองเปลี่ยนคำใหม่ดู
คำไหนพิมพ์ผิด
หรืออ่านแล้วไม่เป็นไปตามที่เราคิด
ก็เปลี่ยนให้มันเข้าที่เข้าทางขึ้น
.
เพราะการที่คนกำลังอ่าน content อยู่นั้น
คุณมีคำผิด-ถูกเข้ามาปะปนในเนื้อหา
หรือแม้กระทั่งคำสะกดที่ผิด
คนจะไปจับผิดการใช้ภาษาของคุณ
ทำให้ทิศทางการสื่อสารของคุณผิดเพี้ยนไปทันที
.
แต่สิ่งสำคัญเลย
คุณอ่านแล้วคุณเองก็ต้องอิน
ต้องอิน! ต้องอิน!! ต้องอิน!!!
เพราะถ้าคุณอิน
นั่นแปลว่า
การสื่อสารของคุณ
สามารถสร้างความรู้สึก
ให้กับผู้รับสารได้
ถ้าคุณยังไม่อิน
คนอื่นเค้าก็ไม่อินไปกับคุณแน่นอน
.
บางคนอินเนอร์มาเต็มมาก
แต่เล่าเรื่องไม่เป็น
แบบว่า “เฮ๊ย ก็ของมันดีอ่ะมึง มันดีมากกกกก ไม่รู้จะบอกยังไง”
“ไอ่ห่า มึงเองยังบอกไม่รู้แล้วกูจะไปเข้าใจกับมึงมั้ย”
พลังอินเนอร์เยอะ
แต่ดันตกหล่นไปกับการสื่อสารซะเยอะ
จนทำให้สิ่งที่อยากจะเล่า
ไม่มีประสิทธิภาพไปเลย
.
ถ้าเนื้อหาของคุณมีความยาวมากๆ
แนะนำให้ซอยประโยคสั้นๆ
แล้วเคาะ enter เอา
.
บังคับให้คนอ่านจากบนลงล่าง
ไม่ใช่การอ่านจากซ้ายไปขวา
เหมือนกำลังอ่านภาษาจีน
เหมือนที่ผมกำลังทำให้คุณอ่านอยู่
.
การที่คนกรอกตาซ้ายขวาไปมา
จะทำให้ตาผู้อ่านเกิดความเมื่อยล้า
สติและโฟกัสเค้าจะหลุด
การ connect กับ content เราจะดรอปลง
.
ลองเอาไปใช้
คุณจะเห็นความแตกต่างของงานคุณเอง
คุณจะได้เนื้อหาที่มีความสละสลวย
มีความกระชับ
เนื้อหาอัดแน่นแต่มีความลื่นไหล
.
ทฤษฏีและแนวคิดมาเยอะละ
ขอยกเคส Study ขึ้นมา 1 เคสครับ
.
พอดีได้รับโจทย์มาว่า
อยากให้ช่วยคิด Caption โฆษณาให้สินค้าอย่างนึง
สินค้าเป็นประเภทของการดีท๊อกซ์ร่างกาย
Target คือ กลุ่มคนที่มีปัญหาเรื่องของระบบขับถ่าย
ท้องผูก ถ่ายยาก
เป็นกลุ่มคนอายุ 45 ปีขึ้นไป
.
ก่อนจะคิดคำหรือเล่าเรื่องทุกครั้ง
หลักสำคัญมากเลยนะครับ
คือต้องเอาตัวเองเป็นคนกลุ่มนั้นเสมอ
จินตนการตัวเองต้องเป็นคนอายุ 45
ที่มีปัญหาการขับถ่าย
คนกลุ่มนี้เป็นคนยังไง
เค้าอยากรู้อะไร
เค้ากำลังเผชิญปัญหาอะไร
.
ค่อยๆคิดครับ
อย่างที่บอก
การจะสร้างอะไรอย่าใช้การเค้น
มันไม่ได้ช่วยอะไร
ระหว่างคิด ก็เดินไปกรอกน้ำ
ขัดห้องน้ำ พับผ้าไปพลางๆ
.
หาแค่คำหรือประโยค
ที่ทำให้คนกลุ่มนี้อ่านแล้วรู้สึก
“impact จน panic”
.
ทำไมผมถึงใช้คำนี้
เพราะผมเข้าใจว่า
คนอายุ 45+ คือกลุ่มคนสูงอายุ
จะมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและโรคภัย
และมีความเป็นห่วงเป็นใยกับคนรอบข้างเป็นพิเศษ
.
อารมณ์ประมาณว่า
เพื่อนเป็น
คนข้างบ้านเป็น
เออ...สงสัยเดี๋ยวกูคงเป็นเหมือนกัน
คนวัยนี้
พยายามหาข้อมูลให้โรคหาย
แต่ไม่หาข้อมูลป้องกันตัวเองไม่ให้เป็น
.
ปิ้งไอเดียแรกเลยของผมคือ
การสร้างจิตนภาพเชิงสัญลักษณ์(Symbolic)
อะไรคือตัวแทนของปัญหาการขับถ่าย
สิ่งที่ผมคิดออกมามีอยู่ 3 สิ่ง
1.กล้องถ่ายรูป(แบบฟิล์ม)
2.จุกก๊อกไวน์
3.สี่งของที่ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดหรือบีบแน่น
เช่น เชือกมัดปม คลิปหนีบ เชือกที่พันกันรุงรัง
.
ของพวกนี้ไม่มีผิดถูกนะครับ
มันขึ้นอยู่กับปิ๊งแรกที่คุณคิดได้
ผมเอาสิ่งของที่เป็นเชิงสัญลักษณ์นี้
มาเป็นส่วนประกอบของการ Caption
จนได้ประโยคมาว่า
.
คุณรู้หรือไม่!!
ท้องผูก ถ่ายยาก
เป็นภัยใกล้ตัวและอันตรายมากกว่าที่คุณคิด
อย่าปล่อยให้เกิดสิ่งนี้กับตัวคุณและคนรอบข้าง
เรามีตัวช่วย ไร้ความเจ็บป่วย ด้วยการดีท๊อกซ์”
.
เห็นมั้ยว่า
แค่ Caption สั้นๆ
เพื่อนำไปยิง ads โฆษณา
มันผ่านกระบวนการคิดมากมายขนาดไหน
เพื่อสะกดคนอ่านวัยนั้น
ให้อยู่หมัด ภายใน3วินาที
.
ถ้าคุณอ่านบทความนี้จบ
ขอแสดงความยินดีด้วย
ผมสามารถหลอกให้คุณอ่านหนังสือ
ขนาด pocket book
ที่มีความยาวถึง 50 หน้า
ด้วยการใช้ภาษา
ที่มีการแฝงอะไรมากมาย
สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เอามาประกอบกัน
ทำคุณไม่รู้สึกเลยว่า
คุณกำลังอ่านบทความยาวเหยียดนี้อยู่
.
ส่งท้าย
ถึงผมจะไม่ใช่ copywriter ที่มากประสบการณ์
ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการสร้าง content โดยตรง
แต่วิธีการคิด การใช้ภาษา
การหาจุดเล่าเรื่องและวิธีการเล่า
จนได้รางวัลจากการreview สินค้า
และการประกวดเขียน caption มาพอสมควร
.
ดังนั้นผมคิดว่า
กระบวนการถ่ายทอดเรื่องราว
ถือว่าเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างนึง
ที่น่าจะพอเป็นความรู้และสามารถแชร์เป็นไอเดีย
ให้กับคนที่มีปัญหาเรื่องการคิด content อยู่ได้บ้าง
.
ทั้งหมดคือประสบการณ์ส่วนตัว
ที่เกิดจากการสังเกตและลองผิดลองถูกมาตลอด
จงให้เวลากับมัน
เริ่มเป็นคนรู้จักการเรียนรู้และสังเกตสิ่งรอบตัว
เพื่อเอามาผลิตเป็นผลงานได้ทุกวันๆ
งานของคุณจะไม่มีที่สิ้นสุด
การคิดงานของคุณจะไม่มีกำแพงอีกต่อไป
.
คุณเชื่อมั้ยว่า
เนื้อหาของEPนี้
สามารถแตกประเด็น
และลงรายละเอียด
ได้อีกมากมาย
เรียกได้ว่ามีอะไรให้คุณได้อ่าน
อีกหลายเดือน
เอาไปปรับใช้ดูนะครับ
.
.
ผมไม่ใช่ ฌอน บูรณะหิรัญ
แต่ผมคือ เอ็กซ์ จักรพันธ์.....ทูลทรัพย์
(ได้ใช้ประโยคนี้ละเว้ย 555)
ปล.shareให้ไกล likeให้รัว ให้เครดิตด้วยนะ...พลีส
Love you.
.
ร่วมพูดคุยกันได้ที่